This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ในทางพระพุทธศาสนาท่านคิดว่าเราสามารถนำหลักธรรมคำสอนใดมาช่วยแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันนี้ได้บ้าง

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ในทางพระพุทธศาสนาท่านคิดว่าเราสามารถนำหลักธรรมคำสอนใดมาช่วยแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันนี้ได้บ้าง
          ถ้าจะพูดถึงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ประเทศไทยก็ถือว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว เพราะจากสถิติที่ผ่านมาในแต่ละปีปัญหาการคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย การคอร์รัปชันมีมาตั้งแต่สมัยไหนไม่มีใครทราบแต่เท่าที่ทราบคือตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินคำนี้แล้ว แต่อาจจะพูดออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น การฉ้อโกง,การทุจริต,การเอารัดเอาเปรียบของคนบางกลุ่มเป็นต้น



               การทุจริตคอร์รัปชัน เกิดขึ้นทุกรูป ทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม
          หลายคนคงสงสัยว่าอะไรที่เป็นตัวผลักดันทำให้เกิดการคอร์รัปชันขึ้น การคอร์รัปชันเกิดขึ้นได้อย่างไร,สาเหตุสำคัญของการคอร์รัปชันคืออะไร ใครคือบุคคลที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชันขึ้น แต่ก่อนที่จะไปค้นหาคำตอบเหล่านี้ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูความหมายของคำว่า “คอร์รัปชัน” กันก่อนดีกว่านะครับ
          คอรัปชั่น คือการทุจริตโดยใช้หรืออาศัยตำแหน่งอำนาจหน้าที่และอิทธิพลที่ตนมีอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น การเห็นแก่ญาติพี่น้อง กินสินบน ฉ้อราษฎร์บังหลวง การใช้ระบบอุปถัมภ์และความไม่เป็นธรรมอื่นๆที่ข้าราชการหรือบุคคลใดใช้เป็นเครื่องมือในการลิดรอนความเป็นธรรม
          การคอรัปชัน ตามประมวลกฏหมายอาญา คือการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฏหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เช่น ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดที่เกี่ยวกับความยุติธรรมตลอดจนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ความยุติธรรม ซึ่งกล่าวง่ายๆ คือ การกระทำเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรชอบได้ด้วยกฏหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เช่น
1. การเบียดบังทรัพย์ของทางราชการเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
2. การใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ
3. การบอกว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เมื่อทำการเอื้อประโยชน์แก่ตน       
      จากข้อมูลและสถิติที่ได้พบ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศระดับต้นๆของโลกที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดเลยก็ว่าได้
      ปัญหาการคอร์รัปชันเกิดขึ้นจากบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ มีความโลภ อยากได้ไม่แบบไม่รู้จักพอ ขาดความซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของ
ตนและหมู่คณะ บุคคลเช่นนี้เป็นบุคคลที่คบไม่ได้ ไปที่ไหนก็จะก่อปัญหาและความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น สังคมและประเทศชาติ
สาเหตุสำคัญที่เป็นตัวผลักดันทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น
1.ขาดความธรรม ขาดความซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของตน
2.ขาดอุดมการณ์หรืออุดมคติ คือไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต
3.ได้รับการถ่ายทอดค่านิยมแบบผิดในสังคม คือยกย่องคนมีเงินมากกว่าคนดี
4.ลุ่มหลงในอำนาจ ทำให้ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด
5.มีรายได้ไม่เพียวพอกับรายจ่ายจึงด้นรนที่จะหาทรัพย์นั้นมาแม้ว่าจะได้มาโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม
ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าบุคคลเหล่านี้ ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิตที่เรียกว่าหลักฆราวาสธรรม 4 คือ หลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน มีอยู่ 4 ประการคือ
1.สัจจะ คือ ซื่อสัตย์สุจริต,ซื่อตรงและจริงใจต่อหน้าที่การงานของตน
2.ทมะ คือ การฝึกฝนอบรมตนเอง และข่มใจตนเองไม่ให้ไปยึดติดกับอบายมุข คือความโลภอยากได้ในสิ่งที่ได้ใช่ของของตน, ความโกรธ, ความหลง เป็นต้น
3.ขันติ คือความอดทน ในที่นี้หมายถึง อดทนต่อกิเลส ต่อสิ่งยั่วยุ ต่อราคะที่จะเข้ามาครองงำจิตใจของตนไม่ให้หลงไปกระทำความผิดนั้นๆ
4.จาคะ คือการสละ ในที่นี้รวมถึงการสละกิเลส,สละอารมณ์ออกไปจากใจของตน ไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามายั่วยุจิตใจของเรา

นอกจากหลักธรรมเรื่องของฆราวาสธรรมแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะต้องมีนั่นก็คือหิริ-โอตัปปะ
หิริ คือความละลายต่อบาป ละอายต่อการทำความชั่ว
โอตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาปหรือการทำความชั่ว
           หลักธรรมข้อนี้เป็นหลักธรรมที่เตือนสติให้เรายั่งคิด ไตร่ตรองก่อนที่จะกระทำการใดๆ และผลของการกระทำนั้นๆว่าเป็นผลดีหรือไม่ดีต่อตนเองและคนอื่น เพื่อให้เกิดความละอายใจต่อการทำความชั่ว ต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลาย และเกรงกลัวต่อความชั่วต่อผลของความทุจริตที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง
       แต่คนในสังคมทุกวันนี้เริ่มที่จะห่างหายจากพระพุทธศาสนาและไม่ให้ความสำคัญต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ขาดหิริโอตัปปะ ทำให้ไม่มีความเกรงกลัวต่อการกระทำและผลของการกระทำของตน ขาดการยับยั้งชั่งใจในการกระทำความชั่ว ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันไปในวงกว้าง เพราะคิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆเขาก็ทำกัน
สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นค่านิยมที่ผิด ที่เราทุกคนต้องหันมาให้ความสำคัญ เพราะถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ ถ้าบ้านเมืองใดขาดคุณธรรม คนในประเทศขาดหลักฆราวาสธรรมและขาดหิริโอตัปปะแล้ว สังคมนั้น ประเทศชาติบ้านเมืองนั้นย่อมเป็นการยาก ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้
สังคมวุ่นวายเพราะคนในสังคมขาดที่พึ่งขาดหลักธรรมที่จะมายึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ยากที่จะหาทางแก้ไขได้ ขาดการยับยั้งชั่งใจในการกระทำความชั่ว คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ผิด เกิดการปลุกฝังนิสัยความเห็นแก่ตัว โลภอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชัน บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันยากที่จะหาความสงบสุขได้
อย่ามัวแต่หาคนผิดมาลงโทษเพราะสิ่งนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร เพื่อที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ตรงจุด ไม่ใช่มัวแต่มาโทษคนนั้นคนนี้ โทษกันไปโทษกันมาแล้วเมื่อไหร่ละประเทศชาติจะสงบสุขเสียที

                  หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะรู้ แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มันก็ยากที่จะทำให้คนในสังคมสื่อสารกันให้เข้าใจได้
                  คนไทยถือว่าโชคดีที่มีพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังนั้นอย่าปล่อยให้พระพุทธศาสนาเป็นเพียงศาสนาที่เรานับถือตามๆกันมา  เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักธรรมที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ โดยไม่ต้องอาศัย ตำแหน่งหรืออำนาจหน้าที่ใด แค่รู้จักคำว่า “พอ”และนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน แค่นี้ทุกคนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้  ประเทศชาติก็จะร่มเย็นเพราะอาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

                การปลุกฝังเด็กๆให้มีความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยทำให้ประเทศชาติของเราลดปัญหาการคอร์รัปชันได้มาก เพราะเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ถ้าเขาได้ถูกปลุกฝังในสิ่งที่ดีๆ เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าเด็กเหล่านี้จะกลายกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองปราศจากการคอร์รัปชันได้ในที่สุด


https://mamoketio.blogspot.com/2017/08/1.html

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

คุณต้องการอยากเห็นพระสงฆ์ไทยเป็นแบบไหน



คุณต้องการอยากเห็นพระสงฆ์ไทยเป็นแบบไหน
 พระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ หรือพระสงฆ์AI ยุค 4.0
         ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกยุคใหม่ยุคแห่งเทคโนโลยี คือเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนทั่วโลกอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เทคโนโลยีต่างๆเหล่าได้ผสมผสานกลมกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ในชีวิตประจำวันของเราไปโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ข้ามโลกข้ามทวีปในชั่วพริบตาหรือจะทำธุรกรรมใดๆก็สามารถทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือได้เลยไม่ต้องเดินทางไปให้เสียเวลา,อินเตอร์เน็ตถือเป็นสัญญาณไร้สายที่ใช้ติดต่อสื่อสารแบบไร้พรมแดน,อุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆที่พัฒนาให้เป็นเครื่องช่วยทุ่นแรงให้มนุษย์สะดวกสบายมากขึ้นไม่ต้องทำเอง เช่น รถที่ไร้คนขับก็สามารถขับเคลื่อนไปได้เสมือนกับว่ามีคนขับอยู่,การค้นหาข้อมูลต่างๆผ่านทางเว็บไซต์เหมือนไปยืนอยู่ที่หน้าหอสมุดใหญ่ที่มีข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจมารวมไว้ในที่แห่งเดียว,หุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแทนมนุษย์ เช่นหุ่นยนต์แพทย์AI ในวงการแพทย์ได้นำเอาหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยมากขึ้น เช่น ช่วยในการผ่าตัดแทนหมอผ่าตัด,หุ่นยนต์แม่บ้านช่วยทำความสะอาดบ้านทุกอย่างแทนแม่บ้าน,หุ่นยนต์ที่ให้บริการต่างๆแทนพนักงาน เป็นต้น
       ล้าสุดเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวว่าประเทศญี่ปุ่นได้สร้างนวัตกรรมใหม่แก่วงการพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างหุ่นยนต์พระAIซึ่งความสามารถของหุ่นยนต์ตัวนี้คือ
ความสามารถอ่านอารมณ์ของมนุษย์ได้ตัวแรกของโลก ให้มารับบทบาทหน้าที่ใหม่ นั่นคือ พระสงฆ์ 
ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกตั้งโปรแกรมให้จำบทสวดของศาสนาพุทธ และสามารถสวดมนต์ในงานศพได้


ซึ่งหุ่นยนต์พระAI นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความก้าวหน้าและแก้ปัญหาในสังคมมนุษย์ ในอนาคตกันใกล้เราก็ยิ่งจะต้องการมันมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจและสังคมของเราเปลี่ยนไป ปัจจุบันจึงมีการพัฒนา AI หลากหลายรูปแบบออกมา ทั้ง หุ่นยนต์ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โปรแกรมประมวลผล และอื่น ๆ อีกมาก

สาเหตุที่บริษัท Nissei Eco ของญี่ปุ่นสืบได้พัฒนาหุ่นยนต์นี้ขึ้นมาเนื่องจากในประเทศญี่ปุ่น การจัดงานศพแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1 ล้านเยน หรือประมาณ 3 แสนบาท เขาจึงได้พัฒนาหุ่นยนต์ Pepper ซึ่งคุณสมบัติของหุ่นยนต์เหล่านี้คือความสามารถอ่านอารมณ์ของมนุษย์ได้ตัวแรกของโลก และได้รับบทบาทหน้าที่ใหม่ ให้มาทำหน้าที่แทน พระสงฆ์ โดยหุ่นยนต์นี้จะถูกตั้งโปรแกรมให้จำบทสวดของศาสนาพุทธ และสามารถสวดงานศพได้ ซึ่งจะช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพได้มากกว่า




ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และโครงสร้างทางสังคมทำให้อุตสาหกรรมงานศพมีขนาดใหญ่มาก ส่งผลทำให้มีการพยายามที่จะนำ AI และเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น บางวัดในโตเกียวได้พัฒนาเทคโนโลยีการเก็บเถ้ากระดูกที่สามารถเก็บและรวบรวมได้มากกว่า 1,000 ชุด ลูกหลานก็สามารถไปเยี่ยมหลุมศพของญาติได้เพียงแตะที่หน้าจอผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น เพราะเหตุนี้โครงการพัฒนา Pepper ให้ทำหน้าที่พระสงฆ์ในงานสวดศพจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง
  เทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่มีขีดจำกัดทำให้บางสิ่งบางอย่างที่เคยมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์นั้นกำลังจะถูกลดบทบาทลงไปนั่นก็คือศาสนา ซึ่งเคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนมาเป็นระยะเวลายาวนาน ในปัจจุบันนี้ผู้คนต่างๆก็เริ่มที่จะให้ความสำคัญต่อศาสนาน้อยลงและหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น  ศาสนาพุทธก็เช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเท่านั้น เทคโนโลยียังได้ดูดกลืนเอาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม และประเพณีต่างๆของเราที่สืบทอดกันมายาวนานให้หายไปด้วย แม้ศาสนาพุทธเองที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนทั้งประเทศ ก็ได้รับความสนใจน้อยลง คำสอนต่างๆในทางพระพุทธศาสนาที่เคยถูกนำเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน นับวันก็เริ่มที่จะไม่มีใครสนใจหรือให้ความสำคัญกับหลักธรรมคำสอนนั้นอย่างจริงจัง ทำให้เกิดการย่อหย่อนในพระธรรมวินัยหรือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้มีเข้าใจในหลักธรรมคำสอนหรือพระธรรมวินัยที่คลาดเคลื่อนไปจากที่พระพุทธองค์เคยสอนมาและเมื่อมีความเข้าใจที่ผิดพลาดแล้วการที่จะนำเอาคำสอนที่มีความเข้าใจที่ผิดพลาดนั้นมาถ่ายทอดต่อก็จะทำให้คำสอนของพระองค์ผิดเพี้ยนตามไปด้วย ทำให้คนที่ได้รับการถ่ายทอดเกิดความเข้าใจที่ผิดๆตามมา 
  จากเรื่องที่ได้กล่าวมาข้างต้น ศาสนาพุทธได้ถูกนำมาปรับให้กลายเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทหรือองค์กรต่างๆ โดยการนำเอาเทคโนโลยีมาสร้างหุ่นยนต์มาทำหน้าที่แทนพระสงฆ์กันอย่างจริงจัง สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ได้รับการถ่ายทอดมาแบบคลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากควาทเป็นจริง  ถ้าพระสงฆ์เป็นเพียงผู้สวดศพอย่างเดียวการที่จะหาอะไรมาทำหน้าที่แทนพระสงฆ์นั้นก็ย่อมทำได้ ในความเป็นจริงแล้วพระสงฆ์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่จะมาทำหน้าที่ในการสวดศพเพียงอย่างเดียว  แต่พระสงฆ์คือผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ให้กับผู้คนที่สนใจในพระพุทธศาสนาได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจและเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์และสามารถนำหลักคำสอนของพระพุทธองค์ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

            ถ้าไม่มีการศึกษาและถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนหรือพระธรรมวินัยอย่างจริงจังพระพุทธศาสนาเป็นแค่เพียงธุรกิจประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้แสวงหาผู้ประโยชน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นการที่ทุกคนจะได้เข้ามาสัมผัสกับพระพุทธศสานอย่างแท้จริง

 ถึงเวลาแล้วที่พวกเราชาวพุทธจะหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่พระพุทธศาสนาของเราจะเสื่อมถอยไปกลับกลายเป็นธุรกิจมากกว่าสิ่งที่ใช้เป็นหลักในการยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีพุทธบริษัท4ที่จะเข้ามา คอยประคับประครองพระพุทธศาสนา ต่อไปในวันข้างหน้าจะมีใครมาช่วยสานต่อหรือสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนากันเล่า  หรือเราจะฝากความหวังไว้กับหุ่นยนต์ ให้หุ่นยนต์เป็นตัวขับเคลื่อนในการสานต่องานพระพุทธศาสนาอย่างนั้นหรือ 
อย่าปล่อยให้พระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษของเราเก็บรักษาไว้และสืบทอดต่อๆกันมาต้องมาสื้นสุดลงในยุคสมัยของพวกเราเลย พวกเราต้องช่วยกันปกป้องและสายต่ออายุของพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมาเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชาวพุทธของเราทุกคนสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลานกันเถอะครับ


https://mamoketio.blogspot.com/2017/08/ai-4.html
ขอบคุณข้อมูลจาก:https://www.appdisqus.com









วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

คุณเชื่อหรือไม่ วัดร้างไม่ได้มีอยู่แต่ในเขตทุรกันดารหรือเขตชนบทเท่านั้น


คุณเชื่อหรือไม่ วัดร้างไม่ได้มีอยู่แต่ในเขตทุรกันดารหรือเขตชนบทเท่านั้น

               เมื่อพูดถึงวัดร้างแล้วหลายๆคนอาจจะคิดถึงวัดที่อยู่ในชนบทหรืออยู่ในป่าเขาหรือเขตทุรกันดารที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน การเดินทางก็ยากลำบากเข้าถึงได้ยาก



             แต่ทุกคนลืมมองไปว่ายังมีวัดอีกไม่น้อยที่อยู่ในเขตชุมชน หรือในเขตกรุงเทพมหานคร ที่กลายเป็นวัดร้างทั้งๆที่ความจริงแล้ว วัดเหล่านี้เมื่อไปค้นประวัติดูแล้วล้วนแต่เป็นวัดที่ใหญ่และมีชื่อเสียง เป็นศูนย์กลางของชุมชนมาก่อน และถือว่าเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคสมัยก่อนเลยทีเดียว บางวัดก็มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น วัดสวนสวรรค์ บางยี่ขัน,วัดสุวรรณคีรีหรือวัดขี้เหล็ก,วัดรังษีสุทธาวาส,วัดบวรสถานสุทธาวาส,วัดใหม่วิเชียร,วัดพระยาไกรหรือวัดโชตนาราม เป็นต้น ยังมีอีกหลายวัดที่ไม่ได้กล่าวถึงที่เคยที่ชื่อเสียงแต่ปัจจุบันกับกลายเป็นวัดร้างที่ถูกทุกคนลืม จะขอยกตัวอย่างวัดร้างที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนสักหนึ่งวัดก็แล้วกันนะครับ คือ


วัดพระยาไกร หรือ วัดโชตนาราม ในอดีตตั้งอยู่ในย่านแขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ก่อนมาเป็นที่ตั้งของท่าเรือและบริษัท อีสต์เอเชียติก บริษัทเดินเรือสัญชาติเดนมาร์กในสมัยรัชกาลที่ 5 และปัจจุบันเป็นที่ตั้งของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์

วัดพระยาไกร เป็นชื่อดั้งเดิมของวัดโชตนาราม มีหลักฐานว่าสร้างก่อน พ.ศ. 2344 จนกระทั่งมีพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (บุญมา) เจ้ากรมท่าซ้าย เป็นหัวหน้าคนจีน ควบคุมคนจีนในไทยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทำการ บูรณะปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วได้น้อมถวายเป็นพระอารามหลวงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] และได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็นพระอารามหลวงมีนามว่าวัดโชตนาราม ตามหลักฐานจดหมายเหตุ ต่อมา "วัดพระยาไกร" กลายสภาพเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะท่านเจ้าสัวบุญมาคงไม่มีทายาทสืบสายสกุลทำให้ขาดผู้ดูแลอุปถัมภ์วัด หลักฐานที่ปรากฏว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดนี้ก็ไม่มีเจ้าอาวาสปกครองแล้ว เสนาสนะสงฆ์ปรักหักพังชำรุดทรุดโทรมยากแก่การบูรณะรวมไปถึงพระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น (พระสุโขทัยไตรมิตร ก่อนย้านไปวัดไตรมิตรวิทยาราม และหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ก่อนย้ายไปวัดไผ่เงิน) ก็ชำรุดทรุดโทรมลงตามลำดับ บริเวณภายในวัดก็กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเนื่องจากไม่มีผู้ดูแลรักษา จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ในเวลานั้นเองทางบริษัท อีสท์ เอเชียติก จำกัด แห่งประเทศเดนมาร์ก ซึ่งทำธุรกิจค้าไม้สักส่งออกยังต่างประเทศมองเห็นเป็นทำเลที่ดีสำหรับตั้งโรงเลื่อยจักรของบริษัทฯ (โรงเลื่อยจักรที่ใหญ่ที่สุดในสยามในช่วงเวลานั้น) จึงได้แสดงความประสงค์ ขอเช่าพื้นที่วัดโชตนาราม จากทางราชการ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ทางบริษัทฯ ก็ได้ทำการรื้อถอนเสนาสนะสงฆ์ที่ปรักหักพังเสียคงเหลือไว้แต่เพียงพระอุโบสถ อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น 2 องค์ ไว้ภายในเท่านั้น พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (พระพุทธรูปทองคำ) ก่อนที่จะอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม รวมทั้งพระประธานในอุโบสถวัดไผ่เงินโชตนาราม ที่หล่อด้วยโลหะสำริด สมัยอาณาจักรสุโขทัย]


  ความสำคัญของวัดพระยาไกรหรือวัดโชตนารามนี้คือ ในครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นวัดที่ได้รับการอุปถัมภ์ มีหลักฐานตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุ สมัยรัชกาลที่ 3 จ.ศ.1213 [2] บันทึกไว้ว่าวัดได้รับการ "ยกให้เป็นพระอารามหลวง" นอกจากนี้ยังพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ได้รับกิจนิมนต์ไปแสดงธรรมและฉันภัตตาหารในพระราชวังตลอดรัชกาล


   วัดโชตนาราม หรือที่ติดปากชาวบ้านว่า "วัดพระยาไกร" ก็มีสภาพกลายเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะท่านเจ๊สัวบุญมาคงไม่มีทายาทสืบสายสกุลทำให้ขาดผู้ดูแลอุปถัมภ์วัด บริเวณภายในวัดก็กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หลักฐานที่ปรากฏว่าในสมัยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 วัดนี้ก็ไม่มีเจ้าอาวาสปกครองแล้ว เสนาสนะสงฆ์ปรักหักพังชำรุดทรุดโทรมยากแก่การบูรณะรวมไปถึงพระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น (พระสุโขทัยไตรมิตร ก่อนย้ายไปวัดไตรมิตรวิทยาราม และหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ก่อนย้ายไปวัดไผ่เงิน) ก็ชำรุดทรุดโทรมลง ตามลำดับ บริเวณภายในวัดก็กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเนื่องจากไม่มีผู้ดูแลรักษา

  ภาพถ่ายเก่าที่เห็นอาคารอุโบสถและวิหารของวัดพระยาไกร(ตรงลูกศรชี้)ตั้งอยู่ตรงท่าเรือและโรงเลื่อยอีสต์เอเชียติก


ปัญหาวัดร้างไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่กับเกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัยแล้วก็ว่าได้ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน นับวันปัญหาวัดร้างก็เริ่มที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลเพราะว่าเรายังขาดบุคคลที่จะมาสายต่ออายุพระศาสนาและขาดผู้ที่จะเข้ามาช่วยกันดูแลรักษาวัดให้เป็นวัดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองกันอย่างจริงจัง ทำให้วัดต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้

เราต้องมาตั้งคำถามกันแล้วละครับว่าปัจจัยใดที่ทำให้วัดที่มีจำนวนไม่น้อยเลยในอดีตคือมีแทบจะทุกหัวระแหงในที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัยหรือแม้แต่ในป่าเขาที่ทุรกันดารก็ยังมีวัดมีพระอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ปัจจุบันกับกลายมาเป็นวัดที่รกร้างว่างเปล่าปราศจากพระหรือพุทธบริษัทที่จะมาคอยดูแลรักษา บางวัดก็แทบจะไม่มีร่องรอยให้เห็นเลยว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดมาก่อน บางวัดพื้นที่ของวัดก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านหรือกลายเป็นของเอกชนไปเลยก็มี ยิ่งวัดที่อยู่ในเขตชุมชนด้วยแล้วถ้าขาดการเอาใจใส่ดูแลรักษาของพุทธบริษัทแล้ววัดนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมถอยลงและถูกชุมชนกลืนเข้าไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรให้เห็นถึงความเป็นวัดนั้นเลย


ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่พวกเราชาวพุทธจะต้องช่วยกันดูแล รักษาและปกป้องวัดวาอารามหรือพระพุทธศาสนาของเราให้อยู่คู่บ้านเมืองของเราให้ชนรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษาและสานต่อวัฒนธรรมอันดีงามของชาวพุทธในการช่วยกันดูแล ปกป้องพระพุทธศาสนาต่อจากพวกเราสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน

พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยพุทธบริษัททั้ง4ช่วยกันทำนุบำรุงและรักษา ถ้าเมื่อไรพระพุทธศาสนาขาดพุทธบริษัท4 หรือพุทธบริษัท4ไม่เข้มแข็งพอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน วัดต่างๆเหล่านี้ก็อาจที่จะกลายเป็นวัดร้างไปในที่สุด

นอกจากที่จะช่วยกันดูแลรักษาวัดที่อยู่ห่างไกลแล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลวัดที่อยู่ใกล้ตัวของเราด้วยนะครับ เพราะถ้าทุกคนต่างก็ไปสนใจแต่วัดที่อยู่ห่างไกล ปล่อยให้วัดที่อยู่ใกล้ตัวกลายเป็นวัดร้างไม่มีใครเหลียวแลแล้ว จะมีอะไรมาการันตีได้ว่าเราจะสามารถตัวแลวัดเหล่านั้นได้ แม้ว่าวัดที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา เรายังไม่สามารถดูแลได้เลย

ดังนั้นเราชาวพุทธทุกคนควรให้ความสำคัญกับวัดในทุกๆที่มากขึ้น แม้วัดที่อยู่ใกล้ตัวเราก็ไม่ควรมองผ่าน เพื่อให้พระและวัดนั้นสามารถยืนหยัดอยู่ต่อไปได้ อย่าปล่อยให้วัดรุ่งกลายเป็นวัดร้างอีกต่อไปเลยนะครับ เพราะนั่นถือว่าความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาของเราชาวพุทธนั้นลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และอย่าปล่อยให้ความเป็นชาวพุทธของเราอยู่ในกระดาษเท่านั้น เราต้องทำหน้าที่ชาวพุทธของเราให้เต็มที่ให้สมกับการที่เราได้เกิดมาเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง

 ถ้าเราขาวพุทธช่วยกันคนละไม้คนละมือในการดูแลรักษาและปกป้องพระพุทธศาสนา รับรองได้เลยว่า คำว่าวัดร้างจะไม่มีให้เห็นกันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัดที่อยู่ในชุมชนเมืองหรืออยู่ในชนบทหรือวัดป่าที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนก็ตาม

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาของเราอย่างจริงจังกันเสียที


https://mamoketio.blogspot.com/2017/08/5.html

ขอบคุณข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย,หนังสือวัดร้างในบางกอก