วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

เหตุใดพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียจึงล่มสลาย ทั้งๆที่เป็นดินแดนแห่งต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ

เหตุใดพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียจึงล่มสลายทั้งๆที่เป็นดินแดนแห่งต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ

หลายๆคนคงเคยเรียนประวัติของพระพุทธศาสนากันมาไม่มากก็น้อย คงจะพอรู้และพอเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ทั้งๆที่ประเทศอินเดียแต่เดิม ก็มีความหลากหลายในด้าน ศาสนา ความเชื่อ และลัทธิต่างๆ อยู่มากมาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เกิดจากพระมหาบุรุษ ซึ่งมีชื่อว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ”เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมหาสิริมายา กษัตริย์ผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์แห่งแคว้นสักกะ พระองค์ทรงมองเห็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์และการเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารของมนุษย์ โดยเห็นนิมิตเป็นเทวทูตทั้ง 4 คือเห็น  คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทำให้พระองค์เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตและอยากแสวงหาทางหลุดพ้น จึงได้ออกจากพระราชวงศ์มาค้นหาสิ่งที่จะทำให้ตนหลุดพ้นได้ และต่อมาในภายหลังพระองค์ก็ค้นพบทางหลุดพ้นและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์หลุดพ้น ก็ทรงมีความปรารถนาที่อยากจะให้ผู้อื่นหลุดพ้นด้วย อยากให้ผู้อื่นได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พระองค์ได้รู้ได้เห็นด้วย และคนกลุ่มแรกที่พระองค์ได้ถ่ายทอดให้ก็คือปัญจวัคคีย์ทั้ง5 จากจุดๆนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา
คงมีคนสงสัยกันอยู่ละว่าพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากและมีการแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย มีวัดต่างๆเกิดขึ้นมากมาย พระพุทธองค์ไปที่ไหนก็มีสาวกเกิดขึ้นที่นั่น และมีผู้ประกาศตัวเป็นพุทธมามกะ คอยให้ความอุปถัมภ์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  กันมากมาย ไม่เว้นแม้แต่องค์พระมหากษัตริย์เอง แล้วทำไมพระพุทธศาสนาจึงได้ล่มสลายลงได้
ก่อนที่เราจะไปดูการล่มสลายของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียนั้น  เรามาดูความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนากันก่อนว่าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในประเทศอินเดีย
สถานที่สำคัญต่างๆที่เป็นเริ่มต้นของการเผยแผ่และเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อคนในสังคมอินเดีย ก็คือความแตกต่างในด้านหลักธรรมคำสอน เช่น
 - ลัทธิศาสนาอื่นสอนให้ยึดติดในคน สัตว์ สิ่งของ แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนให้รู้จักการปล่อยวาง
- ลัทธิศาสนาอื่นสอนในเรื่องการบูชายัญ เพื่อให้เทพเจ้าคุ้มครองพวกตน แต่ พระองค์สอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องบุญและบาป
- ลัทธิศาสนาอื่นสอนให้ยึดติดกับระบบชนชั้นวรรณะต่างๆ แต่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับทุกชนชั้นวรรณะโดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน
ที่สำคัญหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สามารถพิสูจน์และสามารถเข้าถึงได้จริง ทำให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและหันมานับถือพระพุทธศาสนากันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พระพุทธศาสนาในสมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
นอกจากนี้ยังมีกษัตริย์อีกหลายพระองค์ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและได้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ(ผู้ประกาศตนว่าขอถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ หรือผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา)จำนวนไม่น้อยกัน เช่น พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแห่งแคว้นโกศล พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น กษัตริย์เหล่านี้ทรงให้ความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาและทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ด้วยการทำนุบำรุงพระภิกษุสงฆ์โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และได้สร้างวัดวาอารามต่าง ๆ ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์มากมาย และได้นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปปกครองประเทศทำให้ประเทศชาติสงบสุข พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายไปในชมพูทวีปอย่างรวดเร็ว
กษัตริย์ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

ถึงแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้ประกาศตนว่าเป็นพุทธมามกะและเป็นผู้ปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้น พระองค์ได้ทรงให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ โดยทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๖ ณ วัดอโศการาม นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ (ปัจจุบันคือ เมืองปัตนะ เมืองหลวงของรัฐพิหาร) ทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน หลังจากสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเสร็จสิ้นแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้จัดคณะพระธรรมทูตออกเป็น ๙ คณะแล้วส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ โดยสายที่ 8 พระโสณะและพระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางศาสนาพุทธจากอินเดียตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา
พระปฐมเจดีย์คือเจดีย์แห่งแรกในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรทวาราวดี
สมัยราชวงค์คุปตะ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดซึ่งถือว่าเป็น #ยุคทองของพระพุทธศาสนา ก็ว่าได้เลยทีเดียวเพราะได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ของราชวงค์คุปตะในสมัยนั้น และที่สำคัญได้เกิดมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกขึ้นในโลก นั่นก็คือมหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยที่มีพระสงฆ์เข้ามาศึกษากันเป็นจำนวนมาก
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยแห่งแรกในโลก

สงสัยกันใช่ไหมครับว่าพระพุทธศาสนาที่มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดมีก่อการตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นแล้วทำไมพระพุทธศาสนาถึงได้เสื่อมถอยไปได้ เรามาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมถอยและล่มสลายไปเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
สาเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมถอยและล่มสลาย เกิดจากเหตุ 2 ประการคือ
       1.เกิดจากภัยภายใน
       2.เกิดจากภัยภายนอก
         
        ภัยภายใน
๑. เพราะแตกสามัคคี เพราะพระสงฆ์เกิดแตกสามัคคีกัน ไม่มีความปรองดองกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ หลงไหลในลาภยศสักการะ ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสอนอันดั้งเดิมเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ทำไห้เกิดสัทธรรมปฎิรูป(พระสัทธรรมเทียม) แม้แต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีให้เห็น เช่น เรื่องการแตกสามัคคีของพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพี และพระเทวทัตต์ เป็นต้น
และได้มีการสืบต่อๆกันมาไม่ขาดระยะ นับว่าเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งในวงการพุทธศาสนาอันเป็นเหตุให้ศาสนาอื่นๆ ฉวยโอกาสโจมตีได้ เท่ากับ เป็นการเปิดประตูบ้านให้พวกโจรเข้ามาขโมยของในบ้าน สังคายนาแต่ละครั้งที่ทำในอินเดียจึงมีมูลเหตุมาแต่การแตกแยกของพระภิกษุสงฆ์เป็นส่วนใหญ่
๒.เลียนแบบลัทธิตันตระในศาสนาฮินดู เมื่อ พศ.๑๕๐๐ พุทธศาสนาได้รับเอาลัทธิตันตระของฮินดูมาปฎิบัติ แล้วเรียกในชื่อใหม่ว่า “พุทธตันตระ” ซึ่งเป็นการขัดต่อคำสอนดั้งเดิมของพุทธศาสนา คำว่า พุทธตันตระ หมายเอาพุทธศาสนาในยุคหลังอันมี มนตรยาน วัชรยาน และสหัสยาน
ลัทธินี้ก่อนที่จะเสื่อมจากอินเดียได้ไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศธิเบต เนปาล และภูฐาน เมื่อพุทธศาสนาถือเอาลัทธิตันตระมาผสมผสานกับศาสนาของตน จึงไม่มีความแตกต่างจากฮินดู ทำให้ห่างจากหลักการเดิมไปทุกที
พุทธสายวัชรยาน "ตันตระ" พระพุทธศาสนาแรกศรัทธาในทิเบต
๓.พระสงฆ์ลืมหลักการเดิม เมื่อพุทธปรินิพพานราว ๑๐๐ ปีเป็นต้นมา พุทธศาสนาเปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ ลูกที่กำพร้าพ่อแม่ จึงเริ่มไม่เกรงใจกันและกัน ได้เริ่มมีทิฏฐิ ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน แยกออกเป็นนิกายมากมาย  
ต่อมาได้เริ่มรับเอาแนวความคิดแบบฮินดูเข้าไปมาก เช่น แนวความคิดพระโพธิสัตว์ที่เริ่มเน้นแบบเทพเจ้าฮินดู แนวความคิดเกี่ยวกับพระอาทิพุทธะที่เลียนแบบพระพรหม และการถือเอาลัทธิตันตระของฮินดูเข้ามาผสมทำให้ลืมหลักการ ราว พศ.๑๖๐๐ เป็นต้นมาก่อนการรุกรานอินเดียของกองทัพมุสลิม พระสงฆ์บางกลุ่มลืมหลักการเดิมไปมากถึงขนาดมีภรรยา เป็นพ่อมดหมอผีเองเพื่อหาเลี้ยงชีพ และเรียกตนเองว่า สิทธะ ไม่ใช่ภิกษุเหมือนเดิม
๔.พุทธบริษัทไม่สนใจปกป้องศาสนาของตนเอง ในอินเดียโบราณ พุทธบริษัทสมัยหลังมีแนวความคิดว่า ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ กล่าวคือ พระสงฆ์จะดีจะเลวก็ช่างไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่ภาระของตนเองที่จะต้องสนใจ
         ต่อมาพระสงฆ์เริ่มห่างเหินจากชาวบ้าน ชาวบ้านก็ห่างเหินวัดไม่ได้สอนบุตรธิดาให้ยึดมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถือ โดยถือว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน เมื่อกองทหารมุสลิมเข้ามาโจมตี จึงไม่มีใครเข้าช่วยเหลือพระได้เลย เมื่อทหารมุสลิมทำลายพระสงฆ์จนหมด ชาวบ้านก็ลืมพุทธศาสนาได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่มีใครแนะนำ ส่วนศาสนาพราหณ์นั้น มีพราหมณ์เป็นแกนนำ ที่แต่งตัวไม่แตกต่างจากชาวบ้านการทำลายจึงทำได้ยาก และมีระบบสอนลูกจากลูกไปสู่หลานตามลำดับ จึงรักษาศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู)ใว้ได้
๕.พุทธศาสนามีคำสอนที่ทวนกระแส  คือ ดิ่งสู่ความเป็นจริง เป็นการฝืนใจคนอินเดียในสมัยนั้น แนวคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องการไม่สนับสนุนการอ้อนวอนก็ขัดต่อความรู้สึกคน สมัยนั้นที่นิยมการอ้อนวอนบูชาบวงสรวงสิ่งที่ไกลตัว เพื่อหวังลาภสักการะ หวังเป็นที่พึ่ง
พิธีการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แนวคำสอนของพุทธศาสนาดึงคนเข้ามาหาหลักไม่ใช่ดึงหลักเข้ามาหาคน ไม่บัญญัติไปตามความชอบพอของคนบางคน ทำให้ปุถุชนผู้เบาปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายและหันไปนับถือศาสนาอื่นได้ นอกจากนั้น หลักคำสอนเกี่ยวกับปฎิเวธ วรรณะของคนชั้นสูงก็ไม่อยากให้มีการล้มเลิกลัทธิประเพณีของเขา บางครั้งคนเหล่านี้ไม่ได้นับถือศาสนาด้วยปัญญา แต่นับถือด้วยการยึดมั่นอยู่กับพิธีกรรมจึงทำให้เป็นการขัดต่อความเชื่อถือ ของเขา 
๖.ขาดผู้อุปถัมภ์ พุทธศาสนาเจริญและดำรงอยู่มาได้ เพราะมีพระมหากษัตริย์ให้ความอุปถัมถ์บำรุงอย่างแข็งขัน เช่น พระเจ้าอโศก พระเจ้ามิลินท์ พระเจ้ากนิษกะ พระเจ้าหรรษวรรธนะ พระเจ้าธรรมปาละ พระเจ้าเทวปาละ เป็นต้น ทำให้พระพุทธศาสนาแผ่กระจายอย่างกว้างขวาง ทั้งในและนอกชมพูทวีป
แต่บางคราวที่กษัตริย์อินเดียนับถือศาสนาอื่น จะทำให้พุทธศาสนาโดยรวมขาดการอุปถัมภ์ พระสงฆ์อยู่ด้วยความลำบาก หรือถูกขัดขวาง เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำและปุ๋ย และพระมหากษัตริย์บางพระองค์ นอกจากไม่คุ้มครองและยังทำลายพุทธศาสนาอย่างย่อยยับ เช่น กษัตริย์ศศางกะ ปุษยมิตร เป็นต้น
        

ภัยภายนอก
ศาสนาพราหมณ์ -ฮินดูเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อสังคมอินเดียภายหลังพระพุทธศาสนาเริ่มอ่อนแอ

       ๑.ถูกศาสนาฮินดูเบียดเบียน ศาสนาฮินดูได้เป็นคู่แข่งของพุทธศาสนาเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนกระทั่งสมัย ปัจจุบันนี้เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วพวกพราหมณ์หรือฮินดูก็ได้เริ่ม ประกาศคำสอนของตนเป็นการใหญ่ ส่วนพระสงฆ์ในพุทธศาสนามีแต่การตั้งรับ บางครั้งก็เปิดช่องว่างให้เขาหรือไม่ก็หลอมตัวเข้าหาเขาจึงเท่ากับว่าเรา ทำลายตัวเราเองด้วยและถูกคนอื่นทำลายด้วย
เส้นทางการเดินทางของพระสวามิน


พระธรรมสวามินพาท่านราหุลศรีภัทรหลบหนีจากนาลันทา
ถ้าหากพระสงฆ์และชาวพุทธยังยึดมั่นอยู่ในคำสอนและรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ ไว้ได้ดีแล้ว คนอื่นหรือศาสนาอื่นก็ทำอะไรได้ยาก เพราะพุทธศาสนาย่อมได้เปรียบศาสนาอื่นในหลักคำสอนอยู่แล้ว

การทำลายของศาสนาฮินดูมีใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง
ไม้อ่อน คือ โจมตีด้วยคำสอน ลอกเลียนแบบคำสอน นำพระพุทธเจ้ามาเป็นอวตาร
ไม้แข็ง คือ ทำลายวัด ยึดวัดพุทธมาเป็นฮินดู วัดส่วนมากกลายเป็นฮินดูเช่น ในอินเดียภาคใต้ พุทธคยา ตโปธาราม ราชคฤห์ วาลุการามที่สังคายนาครั้งที่๒ วัดถ้ำที่อินเดียภาคใต้ โบสถ์พระรามที่อโยธยา ก็กลายมาเป็นสมบัติชาวฮินดูไป นอกจากนั้นยังซ้ำเติมยามพลั้งพลาด เช่นพราหมณ์กลุ่มหนึ่งหลังมุสลิมเติร์กกลับจากเผามหาวิทยาลัยนาลันทาแล้ว ก็กลับมาเผาซ้ำอีก
ในสมัยต่อมา นักบวชฮินดู ได้เปลี่ยนแนวการสอนใหม่จากเดิมที่ไม่อยู่หลักแหล่งมเป็นการตั้งสำนัก จากไม่มีองค์กรคณะสงฆ์ก็ตั้งคณะสงฆ์ จากนักบวชพราหมณ์ที่นุ่งห่มสีขาว กลายมาเป็นแต่งชุดสีเหลืองเหมือนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา นักบวชที่แต่งชุดเหลือง ถูกเรียกว่า สาธุ
แม้พระสงฆ์ไทยเมื่อไปอยู่ที่ อินเดีย ก็ถูกเรียกว่าสาธุเช่นกัน และคิดเหมาว่าเป็นฮินดูทั้งหมด เมื่อฮินดูปฏิรูปการนุ่งห่มทำให้ความแตกต่างลดน้อยลง และการกลืนก็เป็นไปโดยง่ายขึ้น
๒. ถูกมุสลิมทำลาย เมื่อสมัยที่มุสลิมเข้ามามีอำนาจในอินเดียกษัตริย์มุสลิมได้แผ่อำนาจไปใน ส่วนต่างๆของอินเดียราว พศ.๑๗๐๐ กองทัพมุสลิมได้ทำลายวัดวาอาราม รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฆ่าฟันพระสงฆ์อย่างมากมายจน
การรุกรานของศาสนาอิสลามในประเทศอินเดีย
พระสงฆ์และชาวพุทธ ต้องหนีกันออกนอกประเทศอินเดียเข้าไปอาศัยในเนปาล สิกขิม ธิเบต ต่อมาเมื่อมุสลิมยึดอินเดียได้อย่างเด็ดขาด อิทธิพลของศาสนาอิสลามก็ได้แผ่ตามไปด้วย เป็นเหตุให้พุทธศาสนาพลอยได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักจนสูญหายไปในที่สุด 
      ในสมัยพุทธกาลก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงปรินิพพาน พระกิมพิละเข้าได้เข้าไปกราบทูลและได้สอบถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า 
  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน เมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว”
พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบพระกิมพิละว่า 
  “ดูก่อนกิมพิละ  เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว  พวกภิกษุ  ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา
ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ  ไม่มีความยำเกรงในศาสดา  เป็นผู้ไม่มีความเคารพ    ไม่มีความยำเกรงในธรรม   เป็นผู้ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา  เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน  
   ดูก่อนกิมพิละ  นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ” 
         พระพุทธศาสนากำลังตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอย เนื่องจากพุทธบริษัท 4 โดยเฉพาะพระภิกษุมีพฤติกรรมที่เรียกได้ว่าไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา ซึ่งหมายถึง "พระธรรมวินัย" ซึ่งพระพุทธเจ้าได้แต่งตั้งให้เป็นศาสดาแทนหลังจากพระองค์ล่วงลับไปแล้ว จากพระพุทธพจน์ที่ตรัสแก่พระอานนท์ ที่ว่า
        "ดูก่อนอานนท์ พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี ที่เราตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้วอันใด พระธรรมวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแทน เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว(โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม  วินโย  เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.)"
        
         จากบทความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยนั้นเกิดจากพุทธบริษัท4 ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ เมื่อไรที่พระภิกษุ  ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ตั้งอยู่ในธรรม(พระธรรมวินัย) ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ จึงทำให้เกิดความปัญหาตามมา เป็นเหตุให้เกิดการแตกแยก เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงและโจมตีได้ง่าย
การทุบทำลายโบสถ์-วิหารทางสิ่งสำคัญทางพระพุทธศาสนา
อุบาสก อุบาสิกา หรือปุถุชนผู้เบาปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายและหันไปนับถือศาสนาอื่นและความเชื่อเดิมๆของตน ทำให้พระพุทธศาสนาขาดผู้ที่จะมาอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา จึงทำให้พระพุทธศาสนาอ่อนแอลง และถูกภัยจากศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงและทำลาย ทำให้พระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองนั้นค่อยเสื่อมลงและหายไปในที่สุด 
          จากการล่มสลายของพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียในครั้งนั้น ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญของชาวพุทธที่จะต้องตระหนักว่า แม้พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนแต่เมื่อไรที่พระพุทธศาสนาขาด พุทธบริษัทที่จะช่วยประคับประครอง ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธศาสนาก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดอยู่ต่อไปได้เช่นเดียวกัน 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่ผ่าน ทำให้เราชาวพุทธต้องหันมาทบทวนแล้วละว่าเราจะมีวิธีการใดที่จะช่วยปกป้อง รักษา และสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาของเราให้กับบุคคลที่มาในภายหลัง เพื่อให้บุคคลเหล่าได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปได้ 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสตอบคำถามที่พระกิมพิละได้เคยกราบทูลถามพระองค์ไว้ว่า            
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็อะไร เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นานหลังจากพระตถาคตปรินิพพานแล้ว"
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
    "ดูก่อน กิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้วหากพวกภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้  เป็นผู้ที่มีความเคารพ มีความยำเกรงในพระศาสดา มีความเคารพ มีความยำเกรงในพระธรรม มีความเคารพ มีความยำเกรงในพระสงฆ์ มีความเคารพ มีความยำเกรงในสิกขาบท    มีความเคารพ มีความยำเกรงซึ่งกันและกัน
     ดูก่อนกิมพิละ ปฏิปทานี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้...พระสัทธรรม ดำรงอยู่ได้นาน"
นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้ ตราบใดที่พุทธบริษัท4ยังคงมีความเคารพต่อพระศาสดา(พระพุทธ) มีความเคารพต่อพระธรรม(คำสอน) มีความเคารพต่อพระสงฆ์ มีความเคารพต่อสิกขาบท(ข้อศีล ข้อวินัย ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด) และภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกามีความเคารพยำเกรงซึ่งกันและกัน มีความเหนียวแน่นในพระพุทธศาสนาแล้ว แม้จะมีภัยเข้ามารุกรานอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะทำลายพระพุทธศาสนาได้
จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาของไทยในปัจจุบัน ที่เห็นกันอยู่ตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนากำลังถูกเบียดเบียนจากบุคคลบางกลุ่มหรือพระสงฆ์บางรูป ที่อ้างตัวเองว่าจะเข้ามาเพื่อช่วยปกป้องและสนับสนุนงานพระพุทธศาสนา แต่กับเข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา และพยายามที่จะทำลายพระพุทธศาสนาโดยวิธีการต่างๆเช่นการยุยงปั่นป่วนให้พระสงฆ์แตกความสามัคคีกัน  การพยายามทำให้พระสงฆ์และวัดตกเป็นจำเลยของสังคม  เช่น เรื่องของเงินทอนวัด เรื่องของการบุกรุกป่าเพื่อสร้างวัด เรื่องของพระใช้ของหรูของแบรนด์เนม เป็นต้น ฆราวาสบางคนหรือพระบางรูปถึงขนาดพูดจาจาบจ้วง ล่วงเกินพระสงฆ์ไปต่างๆนานา ขาดสติ  ไร้ปัญญา
 สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดจากภัยภายในด้วยกันทั้งสิ้น เป็นปัญหาที่เกิดจากพุทธบริษัทบางกลุ่มไม่มีความเคารพต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ตั้งอยู่ในศีล ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ดั่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้และไม่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นพวกเบาปัญญา เห็นคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นพวกไม่ได้นับถือศาสนาด้วยปัญญา แต่นับถือด้วยการยึดติดอยู่กับพิธีกรรมเดิมๆ หรือประเพณีเดิมๆที่สืบทอดต่อๆกันมาโดยไร้สติ คิดแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการที่พระสงฆ์ท่านพยายามปรับปรุงวิธีการเทศน์สอนเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบันก็กล่าวหาว่าท่านสอนผิดจากพระธรรมวินัยจากไตรปิฎก เพียงเพราะขัดต่อความเชื่อหรือความคิดของตนแต่หาได้ศึกษาหลักธรรมที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาไม่
สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่เราชาวพุทธทุกคนจะต้องรีบช่วยกันแก้ไข ก่อนที่ปัญหาต่างๆเหล่านี้จะกับกลายมาเป็นไวรัสร้ายแพร่กระจายไปยังสังคมไทยมากไปกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพระพุทธศาสนาก็ยากต่อการแก้ไข และอาจจะกลายเป็นอดีตเมืองพุทธเช่นเดียวกันกับประเทศอินเดียในอดีตก็เป็นได้

วัดพระราม ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวังไปทางด้านทิศตะวันออก  ตรงข้ามกับวิหารพระมงคลบพิตร ปัจจุบันคือ “สวนสาธารณะบึงพระราม” วึ่งใช้เป็นที่สำหหหหรับพักผ่อนของนักท่องเที่ยวและชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา


โบราณสถานวัดสักน้อย (ร้าง)
เมื่อไหร่ที่พุทธบริษัท4อ่อนแอ ก็จะเป็นชนวนอย่างดีให้ศาสนาอื่นหรือลัทธิความเชื่ออื่นเข้ามาแทรกแซงและทำลายพระพุทธศาสนาของเราได้  ถ้าพุทธบริษัท4ยังเข้มแข็งและเหนี่ยวแน่น แม้จะมีภัยจากที่ต่างๆเข้ามาก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆให้กับพระพุทธศาสนาของเราได้ ดังนั้น ความสามัคคีคือพลังที่จะขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาของเราให้ยังคงอยู่คู่กับประเทศชาติบ้านเมืองของเราต่อไป อย่าปล่อยให้พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่ในการปกป้องพระพุทธศาสนาเพียงลำพัง เราชาวพุทธทุกคนสามารถช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาได้ ด้วยการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้ใช้ในชีวิตประจำวันและช่วยกันเผยแผ่หลักธรรมคำสอนนั้นให้ผู้อื่นเขาเข้าใจและถือปฏิบัติตาม


https://mamoketio.blogspot.com/2017/09/4-5.html
ข้อมูลจาก:ธรรมะไทย,narater2010


     


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น