This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

คนเราไม่ผิดที่จะคิด...แต่เมื่อรู้ว่าคิดผิดและยอมที่จะแก้ไข ถือว่าคน คนนั้นเป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องอย่างยิ่ง...

คนเราไม่ผิดที่จะคิด...แต่เมื่อรู้ว่าคิดผิดและยอมที่จะแก้ไข ถือว่าคน คนนั้นเป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องอย่างยิ่ง...

เพราะความไม่รู้หรืออคติ จึงทำให้คนเราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แต่ถ้าลองเปิดใจให้กว้างสักนิด สิ่งที่ท่านคิดอาจจะไม่ใช่ความจริงก็เป็นได้
เจ้าของเฟสบุ๊คท่านหนึ่งได้ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวของเขาโดยการโพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊คของตัวเอง ถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับความไม่เข้าใจหรือความมีอคติที่เกิดขึ้นภายในใจ ทำให้เขามองสิ่งเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดี แต่พอเจ้าของเฟสบุ๊คท่านนี้ได้เปิดใจที่จะยอมรับฟัง และยอมที่จะ ก้าวเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งที่สงสัยนั้น และเมื่อเข้าใจแล้ว เขาก็พร้อมที่จะเปิดใจยอมรับ และได้ลบอคติหรือความเข้าใจผิดนั้นออกไป และพยายามที่แก้ไขข้อผิดพลาดนั้นๆ
คนเราไม่ผิดที่จะคิด แต่เมื่อรู้ว่าคิดผิดและยอมที่จะแก้ไข ถือว่าคน คนนั้นเป็นบุคคลที่ควรแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง เจ้าของเฟสบุ๊คได้โพสต์ข้อความซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
เจ้าของเฟสบุ๊คได้เล่าเรื่องราวจุดเปลี่ยนจากที่เคยไม่เข้าใจวัดดังแห่งหนึ่งแถวปทุมธานีเพราะได้รับข้อมูลมาแบบผิดๆจากสื่อ ทำให้มองวัดนั้นไปในทางที่ไม่ดี และเคยวิจารณ์วัดนั้นด้วยข้อมูลที่ได้รับมาแบบผิดๆ จากสื่อด้วย ซึ่งเนื้อมีดังนี้
"ไถ่โทษที่เคยมองวัดพระธรรมกายผิด หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องออกโรงช่วยวัดพระธรรมกาย เป็นการไถ่ความผิดที่เคยมองวัดนี้ผิดทั้งที่ไม่เคยเข้าไปศึกษา
"กราบขออโหสิกรรมด้วยกายวาจาใจที่เคยล่วงเกิน เคยว่าเขาเคยวิจารณ์ด้วยข้อมูลที่รับมาผิดๆจากสื่อได้รับนิมนต์ไปรับมหาสังฆทานที่วัดพระธรรมกาย3ครั้ง แต่ไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว..(เพราะอคติกับวัดเขา)"
@photoofdays.blogspot.com @nop072.blogspot.com
และเจ้าของเฟสบุ๊คยังได้เล่าถึงเรื่องราว จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันกลับมามองวัดนี้ใหม่เพราะอะไร มาติดตามกันต่อได้เลยครับ
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เจ้าของเฟสบุ๊คคือ
"จุดเปลี่ยน คือการไปดูงานที่วัดบ้านขุน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสาขาของวัดพระธรรมกายที่มีพระเณรชาวเขามาบวชเรียน300กว่ารูป ไปเห็นปฏิปทาจริยวัตร์ที่งดงามของพระเณรวัดนี้ ได้มีโอกาสนั่งฉันภัตตาหารเพลท่ามกลางพระเณรชาวเขาวัดนี้ นั่งฉันภัตตาหารไปขนลุกไป มองไปมีแต่ภาพที่งดงามมาก
  • นั่งเงียบกริบ เสียงพูด เสียงฉันอาหารไม่มีให้ได้ยิน เสียงช้อนกระทบจานไม่มีให้ได้ยิน
  • ฉันเสร็จลุกขึ้นภาชนะใส่อาหารหายไปพร้อมกับสามเณร อย่าว่าแต่ขยะเลย ข้าวหกสั่กเม็ดก็ไม่มี เหมือนสถานที่นี้ทำสะอาดเอาไว้ตลอด
  • ห้องน้ำสะอาดเหมือนกับไม่เคยมีคนใช้
  • ถอดรองเท้าวางเป็นระเบียบ
  • กุฏิทีอยู่พระเณรท่านสร้างกันเองยังกับสถาปนิกจบปริญญามา
  • เรื่องวัตรปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา  ไม่ต้องพูดถึงตื่นตี่4สวดมนต์ทำวัตรเช้าทุกวัน  ตอนเย็นมีชาวบ้านที่เป็นชาวเขาที่อยู่รอบวัด มาทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิกับพระเณรทุกวัน
  • สถานที่วัดทุกตารางเมตรเป็นระเบียบสะอาดงามตามากๆ จัดเป็นสัดส่วนที่หลับนอนจำวัดพระเณรเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน และ
  • พระเณรที่นี้เวลาพูดจาปราศรัยมารยาทงดงามสุภาพอ่อนโยน คราบของคนป่าคนดอยที่ห่างไกลความเจริญไม่มีปรากฎให้เห็น ที่เห็นก็แค่สำเนียงพูดที่พูดภาษาไทยออกสำเนียงชาวเขา แต่กริยามารยาทเหมือนคนที่อยู่ในอารยธรรมที่เจริญ @kalyanamitra.org @photoofdays.blogspot.com
ถ้าไม่เชื่อไปดูได้ออกจากเชียงใหม่ไม่ไกลมาก ถนนเส้นทางไปวัดทิวทัศน์ป่าเขาสวยงาม เมื่อเข้าไปในวัดเหมือนอยู่คนละโลก
กับสภาพสังคมของชาวป่าชาวเขา นึกว่าเป็นวัดที่อยู่ในถิ่นที่เจริญรุ่งเรืองมากๆ..ข้าราชการผู้ใหญ่พ่อค้าวานิชที่ได้เข้าไปวัดนี้
กลับไปต้องกลับมาทำบุญใหม่มีศรัทธากันทุกคน วัดสาขาของวัดพระธรรมกายทั้งในและต่างประเทศเขาสอนเหมือนกันหมด
จึงหายสงสัยว่าทำไมผู้คนทั้งในและต่างชาติจึงศรัทธาวัดนี้มากมาย จะบอกว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดบิดเบือนหลักคำสอนพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
@kalyanamitra.org
ในเมื่อพระเณรวัดพระธรรมกายก็เรียนนักธรรมบาลีเหมือนพระเณรทั่วประเทศ แถมยังเป็นวัดที่จบเปรียญธรรม ๙ เยอะที่สุดในประเทศไทย
แต่..สลดใจมากตอนนี้วัดนี้เป็นเหยือทางการเมือง เพราะข้อมูลที่บิดเบื่อนผสมกับการอิจฉาริษยา แบบมีอคติของกลุ่มคนหลายฝ่าย และพวกที่จ่องแสวงหาผลประโยชน์จากวัดพระธรรมกาย หากเราต้องสูญเสียวัดนี้ไป ประเทศไทยคงหมดโอกาสเป็นศูนย์กลางพุทธโลก  ( Fb ดร.แม็ก ภัคสิษฐ์  กล่าว )
จากที่ได้ไปศึกษามาก็ทำให้ทราบว่า วัดดังกล่าวมีระบบการฝึกคนที่ดีมาก  หลายคนอาจจะคงสงสัยว่าวัดนี้เขาฝึกคนกันอย่างไร ทำไมคนวัดนี้ถึงได้รักวัดกันได้ถึงเพียงนี้  ขนาดวัดใหญ่ขนาดนี้ วัดยังสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ 
@pantip.com/topic/36347565

@7meditation.blogspot.com @twitter.com/jaiyut24nor @twitter.com/ninjaandtussaka
และได้ทราบข่าวมาว่าวัดนี้นอกจากจะใหญ่โตและสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ที่วัดแหล่งนี้เขาก็มีการจัดงานบุญกันทุกอาทิตย์ เรียกได้ว่าพระเณรมีงานกันให้ทำกันไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าจะมีงานมากมายขนาดไหนกิจวัตรประจำวันของพระเณรในวัดนี้ก็ไม่เคยขาด พระเณรต้องตื่นจากจำวัตรตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาสวดมนต์ทำวัตรเช้า และทำความสะอาดวัด ก่อนที่จะไปฉันภัตตาหารเช้า  นอกจากกิจวัตรประจำวันจะไม่ขาดแล้วยังได้ยินข่าวอีกว่า เรื่องการเรียนที่วัดนี้เขาก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ที่วัดนี้มีพระเณรสอบผ่านนักธรรมบาลีได้เปรียญธรรมกันเป็นจำนวนมาก ( นอกจากนี้สำหรับสาธุชนยังมีผู้ที่สอบได้บาลีศึกษาระดับ 9 กันมาแล้วถึง 7 คนด้วยกัน ) และโดยเฉพาะเปรียญธรรมประโยค 9  วัดนี้ถือว่ามีพระสอบผ่านเปรียญธรรมประโยค 9 มากที่สุดในประเทศ ก็ว่าได้  ล่าสุดการประกาศผลสอบนักธรรมบาลีในปีนี้ผลปรากฎว่าพระของวัดแห่งนี้ก็สอบได้เปรียญธรรมประโยค 9 ถึง 6 รูป  ถือได้ว่าเก่งทั้งปริญัติ และปฏิบัติ  กันเลยทีเดียว
[caption id="attachment_4364" align="alignnone" width="629"] @dailynews.co.th
ดังนั้นเวลาได้ยินอะไรมา เราอย่าพึ่งเชื่อถ้าเรายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานั้นเป็นเรื่องจริงตามที่เขาได้กล่าวหาหรือไม่ และอย่าปล่อยให้อคติหรือความไม่รู้มาเป็นตัวปิดกั้นความคิดหรือการตัดสินใจของเรา ที่จะทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องและยอม!! ที่จะเปิดใจรับฟังและแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนั้นให้กลับมาในทิศทางที่ดี
อย่าทำเพียงเพราะความไม่เข้าใจ หรือมีอคติอยู่ในใจ แต่จงพยายามหาคำตอบในสิ่งที่ไม่เข้าใจให้เกิดความเข้าใจ ลดอคติที่อยู่ในใจออกไป เมื่อนั้นสิ่งที่ควรทำจะเกิดขึ้นมาเอง
ผลดีของการขอขมาโทษ
 การขอขมาโทษ คือ การขอให้ผู้อื่นยกโทษให้กับตนในสิ่งที่ตนได้กระทำผิดพลาดทำล่วงเกินไม่ว่าจะด้วยประการใดๆต่อบุคคลเหล่านั้น ไม่ได้ว่าจะ ได้กระทำลงไปโดยทางกาย วาจา หรือใจ ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม เมื่อรู้สึกตัวแล้วก็ควรที่จะขอขมาโทษ เพื่อให้ผู้ที่ตนล่วงเกินนั้นได้ยกโทษหรืออโหสิกรรมให้ และทำให้วิบากกรรมที่ตนได้เคยล่วงเกินนั้น กลายเป็น "อโหสิกรรม" และไม่ตามไปส่งผลอีก
ในพระไตรปิฎก  เมื่อมีการล่วงเกินกันและกัน ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ  การขอขมาโทษก็เพื่อต้องการที่จะให้มีการสำรวมระวังในกาลครั้งต่อๆไป จะได้ไม่ทำผิดพลาดขึ้นอีก 
การขอขมาโทษหรือขออโหสิกรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะเราไม่รู้หรอกว่าได้เคยทำอะไรไม่ดีกับใครไว้บ้างหรือเคยล่วงเกินใครไว้บ้างแต่ถ้าเรารู้ก็ควรที่จะขอขมาโทษและขออโหสิกรรม เพื่อไม่ให้วิบากกรรมนั้นตามมาส่งผลได้อีก ถือเป็นการตัดวงจรของวิบากกรรมนั้นๆไปได้ สิ่งที่ทำมันไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น แต่มันเกิดประโยชน์ต่อตัวของเราเองดังนั้นโดยอย่ามองผ่านในเรื่องนี้เพราะกฎแห่งกรรมไม่เคยปราณีใคร
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :  Fb ดร.แม็ก ภัคสิษฐ์

เรื่องเล่าจากอีสป...ตอน จับผิดคนอื่น!!

เรื่องเล่าจากอีสป...ตอน จับผิดคนอื่น!!

คนส่วนใหญ่มักจะมองแต่เห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่สำหรับความผิดของตนเองนั้นกับมองไม่เห็น ดังนั้นคนโดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะโทษแต่คนอื่นว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ คอยแต่ที่จะจับผิดคนที่ตนมองเห็นอยู่เบื้องหน้าของตน  แต่ไม่เคยหันมาจับผิดหรือมองตัวเอง แต่เราก็มักที่จะให้อภัยตนเองได้ง่าย ถึงแม้ว่าความผิดน้ั้นจะร้ายแรงสักเพียงใดก็ตาม แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรากับมองแต่คนอื่นว่าวันนี้เขาไปทำความผิดอะไรมา เมื่อรู้ความผิดที่คนนั้นทำมาแล้วก็มักที่จะ ไม่รู้จักที่จะให้อภัยคนตรงกันข้ามกับมองเขาไปในทางที่ไม่ดีอีกด้วย
@canada.com
จากที่นิทานอีสปเรื่องหนึ่งเขียนไว้ว่า
เมื่อครั้งที่โปรเมทีอูสมนุษย์เสกให้มีในโลก
เขาแขวนถุง2 ถุงไว้ที่คอของมนุษย์ ข้างหน้าถุงหนึ่ง ข้างหลังถุงหนึ่ง
ถุงข้างหน้าใส่ความบกพร่องของผู้อื่นไว้เต็มถุง
ส่วนถุงข้างหลังใส่ความบกพร่องของตัวเองไว้เต็มเช่นกัน
เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงมองเห็นแต่ความผิดพลาดของผู้อื่นได้ชัดเจน
แต่มองไม่เห็นข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดของตนเองเลย
ดังนั้น มนุษย์จึงมีนิสัยชอบจับผิดข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่กับมองไม่เห็นข้อผิดพลาดหรือข้องบกพร่องของตนเอง เรื่องนี้เป็นนิทานที่เอามาเปรียบเปรยกับมนุษย์ที่มองข้ามความดีของคนอื่น พยายามมองหาแต่จุดบกพร่องของคนอื่นเหมือนจะเป็นจุดเล็กๆก็เอามาเป็นความผิดได้ ตรงกันข้าม ตนเองกับมองข้ามข้อผิดพลาดของตนเองนั้นไป แม้จะรู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดพลาดลงไปยังไงก็ยังให้อภัยตนเองได้เสมอ
@medium.com
อย่ามองแต่ข้อบกพร่องของคนอื่นมากเกินไป จนลืมไปว่าตนเองก็ยังมีข้อบกพร่องนั้นอยู่ เพราะใส่ใจกับคนอื่นมากเกินไป จนลืมที่จะใส่ใจตนเอง คนเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเองให้ดีขึ้นไปได้ เพราะมองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตนเอง เมื่อมองไม่เห็นข้องผิดพลาดของตัวเองแล้วการที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงและยอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำตักเตือนของผู้อื่นนั้นก็ย่อมเป็นไปได้ยากไป
ขอบคุณที่มาของ : หนังสือ "อ่านจิตวิทยา อ่านคน อ่านเรื่องเล่าจากอีสป"

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

เหตุใด!!พระโมคัลลานเถระ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะด้านมีฤทธิ์มากแต่กับต้องละโลก(นิพพาน)เพราะถูกโจรรุมทำร้าย

เหตุใด!!พระโมคัลลานเถระ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะด้านมีฤทธิ์มากแต่กับต้องละโลก(นิพพาน)เพราะถูกโจรรุมทำร้าย


วิบากกรรมไม่เคยละเว้นใคร แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมเจ้า และเป็นเอตทัคคะด้านมีฤทธิ์มากก็ตาม เมื่อได้ทำกรรมใดไว้วิบากกรรมนั้นก็จะตามมาส่งผล ไม่ช้าก็เร็วไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ ยิ่งกรรมที่ได้กระทำไว้กับบุพการีหรือผู้มีพระคุณด้วยแล้วถือว่าเป็นกรรมหนักมาก ยากที่จะหนีพ้นวิบากกรรมนี้ไปได้ พระโมคัลลานะก็เช่นเดียวกัน  ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีฤทธิ์ แต่เมื่อวิบากกรรมตามมาส่งผลก็ทำให้ท่านต้องมานิพพานด้วยน้ำมือของโจรป่า ทั้งๆที่ท่านเองก็มีฤทธิ์สามารถ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ด้วยวิบากกรรมที่เคยทำกับพ่อแม่ในอดีตทำให้ท่านต้องมานิพพานเพราะเงื้อมมือของโจร ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า
ในอดีตชาติ "พระมหาโมคคัลลานเถระ" เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวล ต่อมาพ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน
เมื่อแต่งงานแล้ว ชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดีเมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสองคน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามีออกทำงา้นนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ ตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า ภรรยาเสนอความคิดเห็น สามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอดแต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด”ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ
เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดไม่ได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเง ” แม้บิดามารดาจะร้องอยู่เช่นนี้ เขาก็ยังกระทำเสียงโจร และทุบบิดามารดาให้ตาย แล้วจึงโยนทิ้งไปในดงแล้วกลับมา
ด้วยวิบากกรรมนี้จึงทำให้ ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง
บุพการีถือว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อเรา เป็นผู้ให้ชีวิตแก่เรามา ถ้าเราไม่มีท่านทั้งสอง เราก็ไม่สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นพระคุณของท่านมากมายยากที่จะตอบแทนได้หมด ดั่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ ดังนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาถึงพระคุณของบุพการีไว้ว่า  "ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน
ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านนั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ
แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด"​
[caption id="attachment_4123" align="alignnone" width="800"] @kapook.com[/caption]ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแแทนปากกาน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก
เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด ​เช่นเดียวกัน
พ่อแม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร  คือ
๑.เป็นต้นฉบับทางกาย  เป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น ​
[caption id="attachment_4124" align="alignnone" width="800"] @teenee.com[/caption]ตัวอย่าง  ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา
ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้
หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีกเช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแแบบที่พิมพ์นั่นเอง ​
ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง มัา วัว ควาย ฯลฯ
แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน
ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำความดีทุกประการ
พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้วยิ่งท่านอบรม
เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกนันต์ ​
๒.เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท
ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก ​
[caption id="attachment_4125" align="alignnone" width="800"] @med.mahidol.ac.th[/caption]พ่อแม่ได้ชื่อว่า เป็นพรหมของลูก เป็นเทวดาคนแรกของลูก เป็นครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งจะอธิบายได้ดังนี้
พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมธรรม ๔ ประการ ได้แก่
๑. มีเมตตา คือ มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
๒. มีความกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
๓. มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
๔. มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้เมื่อลูกต้องการ
พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่น ๆ
พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น ๆ
พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่
๑. เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
๒. เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
๓. เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
๔. เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก
จากที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ เมื่อครั้นพระโมคคัลลานะอดีตชาติ ได้ลวงพ่อแม่ไปฆ่า เพราะเชื่อคำของภรรยา โดยแกล้งทำตัวเป็นโจรมาปล้น พ่อแม่ของท่านก็ไม่เคยห่วงชีวิตของตนเอง แต่กับตะโกนบอกให้ลูกของตนหนีไป นี่แสดงให้เห็นว่าความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแม้ชีวิตก็ยอมสละให้ลูกได้  ดังนั้นที่กล่าวไว้ว่าพ่อแม่เป็นพรหมของลูก , พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก , พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก , พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่่ได้มีการเปรียบเทียบแบบนี้
เมื่อรู้ถึงพระคุณของพ่อแม่ว่ามีมากมายเพียงใดลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือ "รู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร " และสิ่งที่ต้องทำต่อมาก็คือ "การตอบแทนคุณของท่าน "
ในทางพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้น ๆ แต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า "กตัญญู กตเวที"ซึ่งคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้
กตัญญู หมายถึง "เห็นคุณท่าน " คือ "เห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา  " ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่เพียงอย่างเดียว
[caption id="attachment_4133" align="alignnone" width="800"] @tongkiddee.wordpress.com[/caption]คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือ ประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อจะอุปการะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ
แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลย
เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียวยัง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่
ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น "หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี" แต่ทั้ง ๆที่ไม่มีท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า"กตัญญู" เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่านั้น
กตเวที หมายถึง "การทดแทนพระคุณของท่าน  " ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ
1.การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผุ้อื่นรู้ว่า พ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด
เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพ คือ เขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก
การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น
ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือ ที่ตัวเรานี่เอง
คนเราทุกคน คือ "ตัวแทน" ของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่านเนื้อก็แบ่งมาจากท่าน
ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อยแต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล
อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง
[caption id="attachment_4128" align="alignnone" width="800"] @thairath.co.th[/caption][caption id="attachment_4129" align="alignnone" width="800"] @thairath.co.th[/caption]กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์
ให้ช่างเรียงพิมพ์แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
[caption id="attachment_4130" align="alignnone" width="800"] @dek-d.com[/caption]พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านซิประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไรไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม
2. การตอบแทนคุณท่าน เมื่อ
๑.ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่านเลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
๒.ท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
แม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญที่ท่านมีต่อเรา
[caption id="attachment_4126" align="alignnone" width="800"] @dmc.tv[/caption]ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
๑.ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธาการให้ท่าน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนา เป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ประพฤติปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน
[caption id="attachment_4131" align="alignnone" width="800"] @pirayod.blogspot.com[/caption]เมื่อพระคุณของพ่อแม่มีมากมายขนาดนี้ การที่ลูกไม่ยอมเลี้ยงดูท่านยามที่ท่านแก่เถ้า ทำร้ายทุบตีท่าน หรือที่ร้ายกว่านั้นคือทำปิตุฆาตท่าน ถือว่า "เป็นคนเนรคุณ เป็นคนอกตัญญู" คนเหล่านี้ถือว่าเป็นพวกหนักแผ่นดิน ดังที่ได้มีการกล่าวเปรียบเปรยไว้ว่า
"ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลา ไม่ยอมออกดอกออกผล ก็ต้องโค่นทิ้ง"
"คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่ไม่ยอมตอบแทนคุณพ่อแม่ก็เป็นคนหนักแผ่นดิน" 
"ทองคำแท้หรือไม่โดนไฟก็รู้ คนดีแแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริง ต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยง แสดงว่าดีไม่จริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊"
 ​คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณคน เป็นคนอกตัญญู หรือเป็นลูกทรพี ( ทำปิตุฆาตพ่อแม่ ) จะไม่มีทางที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านหน้าที่การงาน ค้าขาย หรือประกอบกิจการใดๆก็ตาม เพราะในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นกรรมหนัก และผลกรรมเหล่านี้จะมาบีบคั้นไว้ ทำให้เราทำอะไรก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ และผลกรรมหรือวิบากกรรมเหล่านี้ก็จะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ เช่นเดียวกันกับที่พระโมคคัลลานเถระ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มากแต่ก็ต้องปรินิพพานด้วยเงื้อมมือของโจรเพราะวิบากกรรมที่ได้ทำกับบิดามารดาของตนในอดีตชาติ ดังนั้นคำว่า"กฎแห่งกรรม"ไม่มีทางปราณีใคร ใครทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้นกลับคืน
พระโมคคัลลานะ ในอดีตชาติก็มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อด้วยความที่อยู่ใกล้กับคนพาลหรือคบคนพาล ทำให้ตนหลงผิดไป จากคนที่มีความกตัญญูกับกลายมาเป็นคนอกตัญญูไปเพราะการคบคน

จากบท ความดังกล่าวมานี้ นอกจากจะได้ทราบถึงความสำคัญของความกตัญญูแล้ว การเลือกคบคนก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิตของเราด้วยคือ ถ้าคบคนดีก็จะทำให้ชีวิตของเราประสบแต่ความสุขและความสำเร็จ แต่เมื่อไร ที่คนที่เราคบเป็นคนพาล เมื่อนั้นชีวิตของเราก็จะปราศจากความสุขและความสำเร็จในชีวิตได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่มา : freehostingguru.compalungjit.org , wikipedia.org