This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เงินทอนวัดตกลงใครกันแน่ที่ผิดใครได้ใครเสีย

เงินทอนวัดตกลงใครกันแน่ที่ผิดใครได้ใครเสีย

                               
  การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบางท่านออกมาให้ข่าวว่าวัดต่างๆจำนวนเท่านั้นจำนวนเท่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอนวัดนั้นถ้าจะมองดูตามความเป็นจริงแล้ว คนที่ทำการเสนอให้เงินกับทางวัดเองคือเจ้าหน้าที่บางท่านของพศ.เองไม่ใช่หรอกหรือครับ และสิ่งที่เสนอมาก็เพื่อให้วัดนำไปใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดบ้าง หรือให้เป็นกองทุนสำหรับพระภิกษุ- สามเณรเพื่อนำไปใช้เป็นในการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม การที่พระท่านรับข้อเสนอนั้น ท่านก็คิดว่าเป็นการดีที่จะได้นำเงินนั้นใช้ประโยชน์ในทางกิจกรรมของสงฆ์ และท่านเองก็รับมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจตนาที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่พศ.คนนั้นต้องการอะไรกันแน่ การที่เจ้าหน้าที่พศ.คนนั้นได้เอาชื่อของวัด ไปทำการแอบอ้างเพื่อทำการขออนุมัติเงินจำนวนดังกล่าวให้กับทางวัดและกลับมาขอเงินนั้นกลับคืนมาในภายหลัง โดยการอ้างเหตุผลไปต่างๆนานา พระท่านเองท่านก็คงไม่เอะใจอะไรหรอกครับ หรือเอะใจแต่ก็พูดอะไรไม่ได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่พศ.คนนี้ ถือว่าได้กระทำการฉ้อโกงเงินอุดหนุนวัดเอง โดยทำการหลอกลวงพระเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนหนึ่งที่ต้องการ  คนเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาพระเอาวัดมาเป็นเครื่องมือและเป็นทางผ่านในการทำมาหากิน
          การที่มีเจ้าหน้าที่บางท่านออกมาพูดนั้นฟังดูเหมือนกับว่าคนที่ผิดคือวัดคือพระ ที่ไปร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พศ.บางคน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยกับสงฆ์ขึ้นมาใหม่เพื่อให้สามารถตรวจสอบเงินบัญชีเงินของวัดได้หรือจัดการกับพระโดยห้ามมิให้พระทำธุรกรรมใดๆโดยไม่ขออนุญาตจากทางสำนักพุทธก่ิอน พูดตรงๆก็คือพระจะทำกิจกรรมใดๆก็ต้องทำการขออนุญาตจากทางสำนักพุทธก่อนเสมอ เช่นรับปัจจัยจากญาติโยม ก็ต้องที่เรื่องแจ้งให้กับทางสำนักพุทธทราบก่อนถึงจะได้มีสิทธิ์รับเงินได้  การที่เจ้าหน้าที่บางท่าน มาไล่บี้เอากับวัดกับพระนั้นมันสมควรแล้วหรือ? เจ้าหน้าที่พศ.ควรจะติดตามไปเอาเงินส่วนที่เจ้าหน้าที่พศ.บางคน เอาเงินไปนั้น มาคืนให้แก่ทางวัดต่างหากไม่ใช่จะมาคอยคิดแต่ที่จะจับผิดพระจับผิดวัดเหมือนที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้  เพราะพระ วัด ก็ถือเป็นผู้เสียหายเช่นเดียวกัน

# อยากจะถามผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ว่าตกลงใครกันแน่ที่ผิด?
#ฆราวาสมีสิทธิ์อะไรที่จะมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเงินบัญชีของวัด?
#จากเรื่องนี้นำมาสู่การแก้ไขกฎหมายสงฆ์เพื่อที่จะควบคุมวัดนั้นมันสมควรแล้วหรือ?
# ต่อไปฆราวาสจะเป็นผู้ที่เข้ามาปกครองวัดปกครองพระเสียเองใช่หรือไม่? ไม่ใช่พระปกครองพระเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ใช่หรือไม่?
#เงินทอนวัด
           

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ปัญหาทุจริต"เงินทอนวัด"

            ปัญหาทุจริต"เงินทอนวัด"

    ช่วงนี้มีข่าวหนาหูเข้ามาให้ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง ข่าว"เงินทอนวัด" กันหรอกนะครับ คำว่าทุจริตเงินทอนวัดคืออะไรหลายๆคนคงจะยังไม่เข้าใจและยัง งง งง กง ก๊ง กันอยู่ใช่ไหมละครับ

       ถ้าอย่างนั้นเรามาดูความหมายของคำว่าเงินทอนวัดก่อนก็แล้วกัน

"เงินทอน"คือ เงินที่เจ้าของสินค้าได้รับเกินมาจากราคาสินค้าที่ตนขาย ก็จะต้องคืนเงินในส่วนที่เกินนั้นให้กับผู้ซื้อสินค้านั้นไป ส่วน

"เงินทอนวัด" คือ เงินอุดหนุนที่ทางวัดได้รับจากส่วนกลาง เพื่อให้นำไปใช้ในกิจการงานของสงฆ์ เช่น  เงินที่ใช้ในการบูรณะซ่อมแซมวัด เงินที่ใช้เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม   และเงินที่ใช้เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและดำเนินกิจกรรมต่างๆทางศาสนา     และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินในส่วนนี้ไปขอเงินคืน  โดยการตกลงกับวัดก่อนว่าต้องการเท่าไหร่ ก็จะทำเรื่องจากส่วนกลางโอนไปให้ แต่จะทำเรื่องขอในจำนวนที่มากกว่าที่ขอจริง แล้วจึงให้มีคนตามไปรับคืนหรือให้ทางวัดทำการโอนเงินนั้นกลับมาให้ตน เงินส่วนที่คืนนั้นจึงเรียกกันว่า "เงินทอนวัด"เรื่องนี้ต้นเหตุของเรื่องจริงๆมันไม่ใช่วัดนะครับ ขอย้ำว่ามันไม่เกี่ยวกับวัด วัดไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่อง แต่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งหลายทั้งมวลมันมาจากบุคคลเพียงไม่กี่คนที่มีอำนาจดูแลเกี่ยวกับการเบิก-จ่ายเงินอุดหนุนวัด เกิดกิเลสบังตาทำให้คิดทำในสิ่งที่ไม่ดีขึ้น โดยอาศัยช่องทางจากเงินอุดหนุนของวัด มาทำเป็นช่องทางในการทำมาหากิน เชื่อว่าบางวัดอาจจะไม่รู้เรื่องหรือบางวัดอาจจะรู้เรื่องนี้ดีแต่ก็ต้องจำยอมทำเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ถ้าวัดไม่ทำตามเงื่อนไขที่เขาเสนอมาเขาอาจจะไม่ทำเรื่องอนุมัติเงินอุดหนุนให้กับวัดก็เป็นได้ โดยการอ้างเหตุผลต่างๆนานา แต่ถ้ายอมทำตามที่เขาเสนอมา อย่างน้อยวัดก็ยังได้เงินไปใช้จ่ายในส่วนกิจกรรมของวัดได้ 

       ได้ยินมาว่าบางวัดที่มีความจำเป็นจริงๆต้องไปขอเงินอุดหนุนวัดมา แต่ก็ต้องยอมเอาเงินบางส่วนที่วัดมีอยู่เพื่อไปแลกกับเงินจำนวนหนึ่งที่ทางวัดมีความจำเป็นที่จะใช้ เช่น ทางวัดได้บูรณะซ่อมแซมวัดไปเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ที่จะต้องจ่ายให้กับผู้รับเหมา แต่ทางวัดมีเงินทั้งหมดในวัดเพียง50,000 บาท ยังขาดอีก 50,000 บาท จึงจะครบ ทางวัดจึงได้ไปของบอุดหนุนวัดในส่วนนี้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้อยู่กับบอกให้เอาเงินที่มีอยู่คือ 50,000 บาทไปให้กับเจ้าหน้าที่แล้วเจ้าหน้าที่จะขอเบิกงบในจำนวนที่ทางวัดต้องการคือ 100,000 บาท นั้นให้     กรณีนี้อยากถามว่าวัดได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ไหม ก็ตอบได้เลยว่าวัดไม่ได้รับอะไรที่นอกเหนือไปจากเงินจำนวนที่ทางวัดต้องการเลย  แต่ตรงกันข้ามรัฐกับต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจากที่จะต้องจ่ายจริงเพียง  50,000 บาท ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นเงิน 100,000 บาท เป็นเพราะอะไร ก็คงจะเดากันไม่ยากหรอกนะครับว่าเพราะอะไร   ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ให้ทางวัดเอาเงินไปให้กับเจ้าหน้าที่แล้วทำการเบิกงบใหม่ให้ตามยอดเงินที่วัดต้องการ   อยากจะถามว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำกับวัดนั้นทำถูกต้องแล้วหรือ? มันสมควรแล้วหรือ?  เจ้าหน้าที่ทุจริตกันเอง แต่กับเอาวัดเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเบิกจ่ายงบนั้น ทั้งๆที่คนได้ผลประโยชน์โดยตรงไม่ใช่วัด แต่กับเป็นคนที่ทำการดูแลเรื่องการเบิก-จ่ายเงินให้กับวัดนั่นเอง   ดังนั้น คนที่ทุจริตการเบิกจ่ายงบโดยการเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองโดยอาศัยวัดเป็นทางผ่าน พนักงานตำรวจหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแทนที่จะไปตรวจสอบว่ามีใครคนไหนบ้างที่มีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในเรื่องนี้ เพื่อติดตามเอาบุคคลเหล่านั้นมาลงโทษตามกฎหมาย แต่กับกลายเป็นว่าจะเข้ามาทำการตรวจสอบเงินบัญชีของวัด และได้มีการเรียกร้องให้มีการออกฏหมายเพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบเงินของแต่ละวัดได้  ฟังดูแล้วมันแปลกๆยังไงชอบกลนะครับ เหตุเกิดที่ไหน แทนที่ท่านจะไปโฟกัสที่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ท่านกลับมาโฟกัสที่ปลายเหตุว่าวัดมีเงินเท่าไหร่ ได้เงินมาสุจริตหรือไม่?อย่างนี้ผมว่าคงไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆให้มันยุติลงได้หรอกครับ มันกับกลายเป็นว่ามาทำให้คนมองภาพวัดไปในทางที่ไม่ดีเสียอีก แทนที่คนทำความผิดจริงๆจะได้รับการประนามแต่ก็กลายเป็นว่าวัดถูกสังคมประนามว่าเป็นคนผิดไปเสียเอง ทั้งๆที่วัดเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย สังคมทุกวันนี้มันพูดยากนะครับ ชอบทำอะไรให้มันยุ่งยากชอบทำให้ผิดกลายเป็นถูก ทำให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นอาชญากรไปได้ในเวลาเดียวกัน
     สรุปไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ยังไงวัดก็กลายเป็นผู้ต้องหาในสายตาของคนทั่วไป ไปแล้ว เพราะข่าวที่ออกมาล้วนแล้วแต่เป็นการพูดถึงการแก้กฎหมายสงฆ์ การผลักดันที่จะให้มีการออกกฎหมายตรวจสอบบัญชีของวัดบ้าง ควบคุมเงินวัดบ้าง แทนที่จะไปเจาะจงกับคนที่กระทำความผิดที่แท้จริง     ทุกวันนี้ข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับพระเกี่ยวกับวัด ส่วนใหญ่เป็นข่าวเสียมากกว่าข่าวดี ที่ข่าวดีๆเกี่ยวกับวัดเกี่ยวกับพระก็มีออกมากมายให้เห็น ทำไมไม่เอาออกมาลงข่าวบ้างให้คนได้รู้ว่าพระดีๆในประเทศนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่ท่านทำความดีมาตลอด ผมเชื่อว่าพระเกือบ 95%ที่ท่านมาบวชเพื่ออุทิศตนให้กับงานพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แทนที่เราจะสนับสนุนออกข่าวชื่นชมท่านให้ท่านได้มีกำลังใจและเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคมต่อไป แต่กับไม่ออกข่าว กับออกแต่ข่าวที่ทำให้คนมองภาพพระภาพวัดไปในทิศทางที่มันเลวร้ายลง   ตอนนี้หลายๆคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำเหล่านี้คงจะมองออกนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเมืองพุทธกันแน่ อันที่จริงประเทศไทยก็ไม่ได้มีแต่ศาสนาพุทธนะครับมีหลายศาสนาเหมือนกัน และเงินอุดหนุนทางศาสนาก็ได้รับกันทุกศาสนา แต่ทำไมถึงมีปัญหาแต่ศาสนาพุทธ และมีการเลือกที่จะตรวจสอบแต่บัญชีทางการเงินของวัดก็ไม่ทราบนะครับ ทำไมถึงให้ความสำคัญกับวัดกับพุทธศาสนาได้มากมายขนาดนี้ ต่อไปท่านคิดว่าสงฆ์จะปกครองสงฆ์หรือฆราวาสจะปกครองสงฆ์กันแน่? 

http://mamoketio.blogspot.com/2017/06/httpmamoketio.html        

ขอบคุณภาพจาก: ข่าวคมชัดลึก , เนชั่น , สปิงค์นิวส์

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วัดธรรมกายหลอกให้คนทำบุญจนหมดตัวจริงหรือ?

วัดธรรมกายหลอกให้คนทำบุญจนหมดตัวจริงหรือ?


วัดธรรมกายหลอกให้คนทำบุญจนหมดตัวจริงหรือ?เป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เป็นคำถามที่หลายๆคนเขาอยากจะรู้จะเห็นหรือที่เรียกว่าพวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน บางมีอคติกับวัดพระธรรมกายเหมือนกับว่าอดีตชาติ เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเลยทีเดียว แค่ได้ยินชื่อว่าวัดพระธรรมกายเท่านั้น อารมณ์แห่งความเกลียดชังมันมาจากไหนไม่รู้ พุงเข้ามาแบบชนิดที่ว่าจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้ จึงได้พยายามที่หาทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้วัดนี้จมลงกับดินเลยก็ว่าได้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าวัดนี้เขาเป็นอย่างไร
ก็เพราะคำว่าอคติตัวเดียวเท่านั้นแหละครับที่ทำให้คนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งหรือทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเละไปต่อหน้าต่อตาถึงจะสาแกใจ
ผมว่าวัดธรรมกายเอง เขาก็ไม่รู้ตัวหรอกครับว่าเขาไปเหยียบสันเท้าใคร แต่สิ่งที่เขาทำไปเขาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและต่อพระพุทธศาสนา เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เขาได้รับบริจาคมา เขาก็เอาไปทำประโยชน์เพื่อสังคมทั้งนั้น เช่น
  1. จัดสอบธรรมะทางก้าวหน้า , ทำโครงการเด็กดีV - Star เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อที่ให้เด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่คิดที่จะโกงกินบ้านเมือง
  2. โครงการบวชพระทั่วประเทศ เพื่อที่จะทำให้วัดที่มันร้างอยู่เกือบหมื่นวัดกลายเป็นวัดรุ่งมีพระไปจำพรรษาอยู่ เพื่อไปสร้างพลังศรัทธาของชาวพุทธให้กลับคืนมา สู่สังคมไทยสืบต่อไป
  3. โครงการตักบาตรช่วยเหลือพระ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถ้าคนไทยไม่ช่วยคนไทยด้วยกันแล้วจะให้ใครหน้าไหนมาช่วยละครับว่าไหม อาหารตักบาตรที่ได้ก็ทำให้พระที่อยู่ที่โน่นมีชีวิตอยู่เพื่อประกอบศาสนกิจของสงฆ์ได้ในยามที่ท่านไม่สามารถออกไปบิณฑบาตได้
  4. โครงการถวายไทยธรรมแก่พระ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และมอบปัจจัยช่วยเหลือครูที่ยืนหยัดสอนหนังสือเพื่ออนาคตของชาติ การที่วัดพระธรรมกายได้มอบเงินหรือสิ่งของเล็กๆน้อยๆให้กับพระและครู ก็เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้พระท่านยืนหยัดในการปกป้องพระพุทธศาสนาให้ยังคงอยู่ต่อไป ถ้าจะว่าไปแล้วตอนนี้ก็ไม่มีใครอยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงในพื้นที่ที่มีแต่อันตรายอย่าง 3จังหวัดภาคใต้หรอกครับ แม้แต่จะมอบบ้านพร้อมที่ดินให้ฟรีๆ เป็นผมผมก็บอกไปทันทีเลยว่าไม่รับครับ แต่พระที่นี่ท่านยังอยู่เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาให้คงอยู่และไม่ยอมทอดทิ้งวัดไปไหน แม้ว่าจะมีข่าวฆ่าพระ ฆ่าชาวไทยพุทธอยู่เกือบทุกวัน แม้จะรู้ว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ต่อไป
  5. โครงการอุบาสิกาแก้ว เพื่อช่วยให้คนไทยรู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาแม้จะเป็นผู้หญิงก็สามารถที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ศึกษากิจวัตรประจำวันของชาวพุทธ และปลูกฝังให้ชาวพุทธเกิดความรักและหวงแหวนวัดและพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เพื่อให้รู้ว่าหน้าที่ของชาวพุทธที่แท้จริงต้องทำอย่างไร
  6. โครงการบวชสามเณร ก็เพื่อปลูกฝังให้เด็กรักวัดและติดวัด สอนให้เด็กรักพ่อแม่ สอนให้เด็กเป็นคนมีศีลมีธรรมและเป็นคนดีของสังคมสืบไป

นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมายที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้นมา ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม แต่โครงการเหล่านี้จะใช้ปัญญาอย่างเดียวคงไม่พอหรอกครับ มันก็ต้องมีทุนทรัพย์ที่จะมาคอยเกื้อหนุนเพื่อที่จะมาช่วยผลักดันให้โครงการต่างๆเหล่านี้บรรลุเป้าหมายไปได้ หลายๆคนคงอยากจะถามว่าทำไมต้องใช้เงินมากมายด้วย ก็ตอบได้ทันทีว่าของทุกอย่างขอกันฟรีๆได้ด้วยหรือครับ ถ้าไม่ใช้เงินซื้อ ไม่ว่าจะเป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง อุปกรณ์ต่างๆมันต้องใช้เงินซื้อทั้งนั้น ดังนั้น การที่คนเขาทำบุญกับวัดเขาก็เห็นแล้วละว่าวัดนี้เขาเอาเงินไปทำงานจริงๆ เงินที่เขาทำมาเกิดประโยนช์ต่อสังคมจริงๆ นี่ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาและอยากจะทำบุญที่วัดนี้กัน เพราะสิ่งที่วัดทำออกมามันเห็นเป็นรูปเป็นร่างและได้ผลจริงๆ ไม่ใช่ทำขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินอย่างที่ใครหลายๆคนมอง เอาเงินอย่างที่ใครหลายๆคนมอง
ในส่วนที่หลายๆคนบอกว่าวัดนี้สอนให้คนทำบุญจนหมดตัวนั้น บ้าหรือเปล่า ใครจะโง่ขนาดนั้น คนที่เข้าวัดพระธรรมกายมีไม่ใช่มีเฉพาะคนรวย แต่คนที่เข้าวัดนี้หลากหลายอาชีพ ตั้งแต่กรรมกรไปจนถึงนักธุรกิจ ตั้งแต่คนจนไปจนถึงมหาเศรษฐี ถ้าบอกว่าสอนให้คนทำบุญจนหมดตัวนี้คงจะไม่ใช่แล้วละครับ คนจนเขาจะไปเอาเงินที่ไหนมาทำละ เขาก็หาเช้ากินค่ำ ที่มาวัดเพราะเขาเห็นว่าวัดนี้สอนดี สอนให้คนเป็นคนดี บางคนมาวัดไม่เคยทำบุญเลยก็มี มาทานข้าววัดเพราะวัดนี้เขามีโรงทาน มีอาหารให้กินฟรีทุกวัน ส่วนคนที่มีฐานะตั้งแต่ระดับปานกลางถึงมหาเศรษฐีนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ คนเหล่านี้ต่างก็มีการศึกษาทั้งนั้นครับ จบกันมานี่อย่างน้อยก็คงไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรอกครับ และสูงกว่านั้นก็ระดับด็อกเตอร์ไปเลย บางคนจบจากเมืองนอกเมืองนามาด้วยซ้ำ ปัญญาระดับคนพวกนี้มีหรือจะยอมให้ตนเองถูกหลอกได้ง่ายๆ ถ้าไม่ได้เห็นในสิ่งที่วัดนี้ทำจริงๆว่ามันเกิดประโยชน์อย่างไร รับรองได้เลยว่าเงินแม้แต่กะตังค์เดียวก็ไม่ได้แอ้มของเขาหรอกครับ ว่าไหม


ผมว่านะการเอาเงินมาทำบุญที่วัด มันก็ดีกว่าเอาเงินไปเล่นการพนัน หรือสิ่งอบายมุขต่างๆด้วยซ้ำ เพราะนอกจากเราจะได้บุญแล้ว มันยังทำให้คนอื่นๆเขาได้รับประโยชน์จากเงินของเราด้วย ตรงกันข้ามกับการเอาเงินไปให้กับสิ่งอบายมุข นอกจากจะหมดตัวแล้ว สิ่งที่แถมมาด้วยคือหนี้สินมากมาย บางคนถึงขนาดต้องขายรถขายบ้าน เพื่อที่จะเอาเงินไปปรนเปรอะให้กับกิเลสตัณหาของตน ซึ่งนอกจากจะหมดตัวแล้วยังทำให้เกิดความทุกข์ บางคนเป็นบ้าไปเลยก็มี สิ่งเหล่านี้ยังทำให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมาอีกมากมาย บางทีเป็นปัญหาระดับชาติระดับประเทศเลยก็ว่าได้ เช่น ปัญหาลักขโมย, ปัญหาอาชญากรรม, ปัญหาครอบครัวแตกแยก, ปัญหาการหย่าร้าง, ปัญหาคอร์รัปชั่น ฯลฯ บางคนถึงขนาดคิดสั้นฆ่าตัวตายเลยก็มี และยังมีอื่นๆอีกมากมายซึ่งก็มีให้เห็นกันเกือบทุกวันในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ของไทยเรา ขึ้นหน้าหนึ่งกันเกือบทุกฉบับเลยทีเดีย

ถามว่าคนเหล่านี้เขาเข้าวัดพระธรรมกายไหม? ก็ไม่ ถามอีกว่าถ้าไม่ได้เข้าวัดพระธรรมกายแล้วทำไมยังหมดตัวอยู่ล่ะ นี่เป็นคำถามที่ให้ทุกคนเอากลับไปคิดนะครับ
ผมว่าถ้าคนวัดพระธรรมกายเขาทำบุญหมดตัวจริงอันนี้มันก็คงเป็นสิทธิ์ของเขาแล้วละ และคงเป็นการตัดสินใจของเขาเองคงไม่เกี่ยวอะไรกับวัดแล้วละ และทางวัดเองเขาก็คงไม่รู้หรอกว่าคนนี้มีเงินเท่าไหร่ ทำแล้วจะหมดตัวไหม มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเองทั้งหมด เพราะเงินก็เงินเขา กระเป๋าก็กระเป๋าเขา เขาจะหยิบออกมาเท่าไหร่มันก็เรื่องของเขา ไม่มีใครเป็นบ้าเอากระเป๋าเงินของตนยื่นให้คนอื่นหยิบเอาเงินของตัวเองไปใช้หรอกนะว่าไหม
แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าคงไม่มีใครบ้าเอาเงินมาทำบุญจนหมดตัวหรอก อย่างน้อยสิ่งแรกที่เขาจะนึกถึงก็คือครอบครัว ถ้าเขาทำบุญหมดตัวแล้วครอบครัวเขาจะกินอะไรละว่าไหม ผมเองก็คิดถึงครอบครัวเป็นหลักเลย ส่วนเรื่องทำบุญก็ตามศรัทธาแต่ไม่ให้ลำบากตน มีก็ทำไม่มีก็ไม่ทำ ก็มันเป็นสิทธิ์ของผมว่าจะทำหรือไม่ทำ ผมตัดสินใจเองไม่มีใครกล้ามาตัดสินใจแทนผมหรอก
เขียนมาก็ยาวนานมากแล้ว อ่านจนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว ที่เขียนมานี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เห็นความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับวัด วัดนี้เท่านั้นเอง เห็นด่าๆกันมากมายในหน้าโซเชียล ก็เลยขอเอี่ยวหน่อยหนึ่ง แต่!! ว่าไหม คนเราก็น่าแปลกนะครับ เรื่องของตัวเองกับไม่ชอบให้ใครมายุ่งแต่ทำไมเรื่องของคนอื่นถึงชอบไปยุ่งเรื่องของเขากันนัก

อันที่จริงเงินมันก็เงินของเขาป่ะ เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขาป่ะ จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาทำไม แบบนี้มันเข้าลักษณะที่ว่า "คนทำไม่มีปัญหา คนที่ปัญหาคือคนที่ไม่ได้ทำ" พูดง่ายๆคือเจ้าของเงินจริงๆเขาไม่มีปัญหา แต่คนที่มีปัญหาที่เป็นเดือดเป็นร้อนกันอยู่ทุกวันนี้คือคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของทั้งนั้น ตัวเองไม่ได้ทำแต่กับเดือดร้อนแทนคนอื่น เป็นห่วงเงินในกระเป๋าคนอื่นเขาซะงั้น น่าสงสารจริงๆ
ยิ่งเขียนก็ยิ่งยาว เอาเป็นว่าขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ส่วนท่านใดที่มีข้อสงสัยอะไรก็เอาไว้เจอกันครั้งหน้าแล้วกันนะครับ ขอบอกว่าที่เขียนมานี่ไม่ได้แก้ต่างให้ใคร แต่ผมแค่เขียนตามความเป็นจริง ยังมีหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ถ้าคุณรู้จักวัดนี้มากเท่าไหร่ความคิดแย่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ในใจของคุณในตอนนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่ก็อยู่ที่ว่าคุณจะปล่อยให้เหตุผลอยู่เหนืออคติ หรือจะปล่อยให้อคติอยู่เหนือเหตุผลก็เท่านั้นเอง

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อย่าเชื่อเพราะเขาเป็น... ถ้าคุณยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองโปรดอย่าเชื่อ!!

 " ใครที่เข้าวัดพระธรรมกาย ต้องระวัง


จะถูกหลอกให้ทำบุญจนหมดตัวจริงหรือ? "
คำๆนี้ถูกพูดต่อๆกันมาเป็นเวลานานจน เข้าไปอยู่ในใจของคนไปแล้ว บางคนแค่ได้ยินชื่อว่า "ธรรมกาย"เท่านั้นแหละเชื่อแบบชนิดที่ว่าโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว บางคนถึงกับออกอาการแอนตี้กันออกมาอย่างเห็นได้ชัดเลยก็มี ทั้งที่ความจริงเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ และคนที่เชื่อตาม จริงๆแล้วก็ไม่เคยเข้าไปสัมผ้สหรือเข้าไปเหยียบวัดนี้เลยด้วยเลยซ้ำ มันเป็นเพราะอะไรกัน หรือมันเป็นไปตามกระแสของใครบางคนที่มีความเกลียดชังและไม่ชอบวัดนี้เป็นตัวผลักดัน แล้วสร้างกระแสมันขึ้นมา ทำให้คนอื่นมองวัดแห่งนี้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองอยากให้เป็น โดยการสร้างโมเดลของวัดนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะโจมตีหรือผลักดันให้วัดนี้กลายเป็นวัดที่เห็นแก่เงิน เพื่อที่จะกระจายออกไปเพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าวัดนี้เป็อย่างไร หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อดึงเอาคนที่ไม่รู้จักวัดหรือไม่เคยเข้ามาสัมผัสกับวัดนี้ มาเป็นพวกของตนในการจัดการกับวัดนี้ให้ได้ ผมว่าการตลาดของเขาใช้ได้ผลนะครับเพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อไปตามเขา
ประกอบกับวัดแห่งนี้ดูจะเป็นวัดที่รักความสงบน่าดู แม้ใครจะว่าอะไรมา จะใส่ร้ายยังไงก็ไม่เคยตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับใช้ความสงบนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย จึงเป็นเหตุให้เขาเล่นงานได้ง่าย
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่รักความสงบ เรียบง่าย เจตนาเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาได้ความสุข ความสงบ ความเย็นกาย เย็นใจกลับไป จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่วัดไม่คิดที่จะตอบโต้ใดๆกลับคืนไป ซึ่งถ้าเราไม่โต้ตอบบ้าง เรื่องราวต่างๆที่เขาทำขึ้นมาเพื่อทำให้คนเชื่อและเข้าใจตามนั้นก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น เหมือนกับในเหตุที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลที่นางจิญจมาณวิกากล่าวให้ร้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำให้ตนท้องแล้วทิ้งตนไปไม่มาเหลียวแล
ในเรื่องนางจิญจมาณวิกา ที่ให้ร้ายพระสัมมาสัมพุทธว่าทำให้ตนเองตั้งท้องนั้น เจตนาของเขาก็คือเพื่อต้องการที่จะทำลาย เชื่อความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมดไป แม้ท่านจะรู้วาระจิตของนางแต่ท่านก้บนิ่งและพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นว่า
"น้องหญิง คำที่เธอพูดมามีแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ความจริง"

แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จากต้นแบบของผู้นำที่มีจิตใจเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ทั้งหลายแม้รู้ว่าภัยจะมาถึงตัวท่านก็ยังนิ่งและยอมปล่อยให้นางให้ร้ายต่อไป แต่การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่พูดอะไรมากก็ไม่ได้แสดงว่าทานจะยอมรับตามที่นางจิญจมาณวิกาพูด
แต่ก็เชื่อว่าอาจจะมีบางคนที่เริ่มเชื่อในสิ่งที่นางจิญจมาณวิกา พูดแน่นอน ถ้าท้าวสักกะเทวราช ไม่แปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่นางผูกไว้ จนเชือกขาด ผ้าและท่อนไม้ก็หล่นลงมา
นางจิญจมาณวิกา ให้ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำให้ตนท้องแล้วทอดทิ้งตน

เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าความเชื่อของคนมันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว แต่แรงศรัทธาของพระพุทธศาสนายังมีมาก ทำให้คนใช้ปัญญาในการพิจารณาไม่เชื่อไปตามที่นางจิญจมาณวิกาไปเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าทั้งพระภิกษุและสาธุชนที่เข้ามานั่งฟังการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างก็อยู่ในอาการที่เงียบสงบเพื่อที่จะรอฟังคำตอบจากพระพุทธองค์ ไม่ได้ด่วนตัดสินใจไปเลยทีเดียว
ซึ่งต่างจากคนเราทุกวันนี้เชื่ออะไรต่างๆได้ง่าย แค่เห็นข่าวออกหรือสื่อต่างๆออกมาก็เชื่อทันที เชื่อโดยปราศจากการไต่ตรอง ปราศจากเหตุผล ปราศจากการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาลงข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สิ่งเหล่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับสังคมไทยทุกวันนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องความเชื่อต่างๆไว้ใน "กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10" เพื่อไม่ให้เกิดความเชื่อไปในทางที่ผิดๆ ดังนี้
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร คือ
  1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
  2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
  3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
  4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
  5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
  6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
  7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
  8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
  9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
  10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสสอนมา ดังนั้นเวลาที่เราก็จะอะไรหรือเชื่อใครเราก็ควรที่จะคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก่อน เราต้องพิสูจน์ให้ได้แน่ใจว่าสิ่้งที่คนเขาพูดมานั้นมันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้เราก็ค่อยเชื่อแต่เมื่อไหร่ที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะถ้าเชื่ออะไรแบบผิดๆชีวิตของเราอาจจะเปลี่ยนไปได้ เมื่อเชื่อแบบผิดทิฐิก็อาจจะเกิดขึ้นในใจและปิดกั้นที่จะยอมรับความจริงไปเลยก็ได้ เป็นการตัดโอกาสครั้งสำคัญของคุณไปเลยทีเดียว โอกาสในการที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยตัวของคุณเองนั้น นั่นเอง

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เกร็ดเล็กๆเกี่ยวกับการฟอกเงิน




            เกร็ดเล็กๆเกี่ยวกับการฟอกเงิน


มาเรียนรู้จักกับคำว่าการฟอกเงินกันเถอะ

การฟอก ความหมายโดยทั่วไป คือ การทำให้สะอาด อาจจะใช้บรีสหรือผงซักฟอกที่มีคุณภาพสูงในการซักฟอกให้สะอาด ไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออยู่ให้เห็น

            ส่วนการฟอกเงินก็คล้ายๆกันครับ ต่างกันตรงที่สิ่งที่นำมาฟอกนั้นไม่ใช้เสื้อผ้าแต่เป็นเงินดังนั้นการฟอกเงินจึงจะต้องมีลักษณะที่ซับซ้อนแตกต่างกันออกไปแต่ที่เหมือนกัน ก็ตรงที่ทำเงินที่ได้มาโดยสกปรกมาทำให้มันสะอาดยิ่งขึ้นเท่านั้นเองครับ มาดูความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ฟอกเงิน” กันครับ
                                         

                                                       




            

             การฟอกเงิน  ( Money Laundering ) คือ การเปลี่ยนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือทรัพย์สินได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ( เงินสกปรก) นำมาเปลี่ยนสภาพเพื่อปิดบังหรืออำพราง ลักษณะที่แท้จริงของแหล่งที่มาของเงินนั้น เช่น การจำหน่าย,การโอน, การทำให้ได้ซึ่งสิทธิใดๆมาโดยถูกต้องตามกฏหมาย เช่น นำเงินที่ได้มาจากการขายยาเสพติด นำไปซื้อที่ดิน ที่ดินที่ได้มาก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่ได้มาถูกต้องตามกฏหมายก่อนนำที่ดินมาขาย เงินที่ได้จากการขายที่ดินก็กลายเป็นเงินที่บริสุทธิ์
            *การฟอกเงินนั้นเงินนั้นก็ไม่ได้หนี้หายไปไหน ตัวผู้กระทำความผิดยังคงเป็นจากของเงินนั้น หรือทรัพย์สินนั้นอยู่



    
           วิธีการฟอกเงิน

1. ซุกซ่อนเงินที่ผิดกฎหมายนี้ไว้ก่อน เพื่อรอเวลานำออกมาใช้

เช่นการฝังดิน เก็บไว้ในห้องลับ รอเวลาทะยอยนำออกมาใช้ หรือแปรสภาพตามเงื่อนไขและสถานการณ์ที่ต้องใช้้เงิน วิธีนี้เป็นวิธีหลักๆพื้นฐานเลย เพราะเหล่าอาชญากรมักจะมีเงินมากมายอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำเงินที่ได้มาอย่างผิดกฏหมายออไปใช้่โดยทันที

2. นำเงินไปซื้อทองคำ

เป็นก็วิธีที่นิยมอันดับต้นๆ แต่ต้องเป็นการทะยอยซื้อที่ละเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่หากเป็นพวกอาชญากรที่มีเครือข่ายเส้นสาย จะใช้วิธีที่เรียกว่า ไซฟ่อนเงิน โดยใช้ ‘โพยก๊วน’ ผ่านร้านทอง และบริษัททัวร์ (การโอนเงินนอกระบบ ผ่าน “ตัวแทนหักบัญชี” ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางเสมือนเป็นนายธนาคารในการรับโอนหรือส่งมอบเงินให้แก่บุคคลที่ผู้ใช้บริการโพยก๊วนระบุ ซึ่งผู้รับเงินอาจจะเป็นผู้ใช้บริการโพยก๊วนเอง หรือบุคคลอื่นๆที่ผู้ใช้โพยก๊วนระบุไว้ก็ได้ โดยผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินจะต้องเป็นบุคคลที่มี ‘หลักฐานการรับเงิน’ ที่เรียกกันว่า ‘โพย เท่านั้น) ซึ่งจะมีร้านทองในเยาวราช ซึ่งจะมีอยู่ 4-5 ร้านที่รับทำโพยก๊วน และบริษัททัวร์ อักษรย่อ ร.

3. นำเงินใส่ในบัญชีลับและนำมาปั่นหุ้นในตลาดหุ้น

วิธีนี้อาชญากรจะมีเครือข่ายพวกพ้องที่เป็นกลุ่มทุนใหญ่ การฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นนั้นง่ายมาก โดยซื้อหุ้นในเมืองไทย ในชื่อใครก็แล้วแต่ แล้วก็โอนไปรวมอยู่ 1 พอร์ต ส่วนใหญ่เขาจะซื้อหุ้นของบริษัทตัวเอง หรือหุ้นที่มีอยู่ในมือเขาเอง โดยเลือกหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาเคลื่อนไหวไม่มาก ซื้อเสร็จก็เอาไปรวมอยู่ในพอร์ตเดียวกัน เช่น 10 ล้านหุ้น เป็นเงินรวม 2 พันล้านบาท ซื้อ ปตท. หุ้นละ 300 บาท ซื้อ 1 ล้านหุ้นก็ 300 ล้านบาท จากนั้นก็ไปเปิดบัญชีไว้ที่เมืองนอก แล้วเซ็นโอนหุ้นไปอีกพอร์ตหนึ่ง คือแค่เซ็นแกร๊กเดียวหุ้นของเขาก็ไปอยู่ที่เมืองนอกแล้ว แล้วก็ให้พวกเดียวกันมาซื้อหุ้นของตัวเองในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้มีหลักฐานการรับเงินที่โน่น เงินนี่ก็ฟอกผ่านตลาดหุ้นเรียบร้อยแล้ว เป็นการฟอกเงินโดยมีกฎหมายรองรับ

4. นำเงินสกปรกไปลงทุนในธุรกิจหรือกิจการค้าที่ชอบด้วยกฎหมาย

อาชญากรจะนำเงินที่ได้มาโดยมิชอบ ไปลงทุนในกิจการต่างๆ เพื่อแปลงสภาพให้ได้ผลกำไร หรือวิธีการเงินต่อเงิน นั่นเอง เพียงแต่เป็นการเอาเงินชั่วไปต่อให้ได้มาซึ่งเงินสะอาด อาจจะลงทุนภายใต้ชื่อของตนเอง หรือเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่ไม่แสดงตัวต่อสาธารณะ หรือกระจายเงินให้ลูกน้องไปลงทุนในธุรกิจของตนเอง

5. รับจำนอง-ขายฝากที่ดิน ทรัพย์สิน


เนื่องจากมีเงินสดจำนวนมากในมือ จึงใช้วิธีให้ปล่อยรับจำนองทรัพย์สินต่างๆ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และหากมีการหลุดจำนอง ก็นำทรัพย์สินไปขายกลับมาเป็นเงินสะอาด และยังทำกำไรได้อีกต่อหนึ่งด้วย

6. จ่ายเป็นส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเปิดช่องทางทำผิดกฏหมายต่อไปเรื่อยๆ

อาชญากรจะใช้เงินเพื่อกรุยทางสร้างผลประโยชน์ต่อเนื่องให้ตนเอง ตามแต่ช่องทางจะเอื้อให้มีการสมรู้ร่วมคิดในการทำผิด เช่นหากเป็นบ่อนการพนันก็มีการจ่ายส่วยให้กับตำรวจในท้องที่ หากเป็นการขนยาเสพติด ก็จะเป็นการจ่ายให้กับผู้ดูแลเส้นทางลำเลียง หรือด่านตรวจต่าง
7. นำไปซื้อเสียงทางการเมือง
หากอาชญากรเป็นนักการเมือง หรือมีเครือข่ายทางการเมือง ก็จะนำเงินส่วนนี้ไปสนับสนุนกลุ่มการเมือง ในการซื้อเสียง วิธีนี้จะทำให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องในอนาคต ซึ่งถือเป็นการฟอกเงินทางอ้อมอีกวิธีหนึ่ง

8. นำไปเล่นการพนัน

ถ้าเป็นโจรตัวเล็กที่อยากฟอกเงินไม่กี่สิบล้านบาทจะนิยมไปเล่นบ่อนตามชายแดน จะเดินทางไปเล่นหลายๆ ครั้ง ฟอกเงินครั้งละไม่กี่ล้านบาท
ส่วนใหญ่พวกนี้จะชอบเล่นไพ่อยู่แล้ว เล่นเสียก็ไม่เป็นไรเพราะเงินหาง่าย แต่ถ้ามือขึ้นเล่นได้เยอะก็รีบแลกชิพกลับเป็นเงินที่ถูกต้องเพราะได้มาจากชนะพนัน
แต่ถ้าเป็นขาใหญ่วิธีเล่นจะแนบเนียนมากกว่าเช่น ไปเปิดบริษัททำการค้าที่เมืองนอก ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ อเมริกา จากนั้นก็โอนเงินไปทำธุรกิจ เช่น ซื้อสินค้าเข้าเมืองไทยต้นทุนชิ้นละ
1,000 บาท อ้างในเอกสารว่าต้นทุน หมื่นบาท เอาเงินที่เหลือจ่ายอีก 9,000 บาทไปเก็บไว้ในธนาคารต่างประเทศ พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็โอนเงินไปบ่อนกาสิโนขอเล่นพนัน
พอเล่นได้ก็แลกชิพโอนเงินกลับมาเมืองไทยถือเป็นเงินสะอาดทันที

9. นำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ และโอนกรรมสิทธิ์ให้บุคคลใกล้ชิด
วิธีนี้เป็นการฟอกเงิน โดยเปลี่ยนเงินผิดกฏหมายให้เป็นทรัพย์สินที่ถูกต้อง และอำพรางปกปิดเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตโดยการกระจายกรรมสิทธ์ิในการถือครองไปยังญาติสนิท คนใกล้ชิด

10. นำไปก้อนใหญ่ไปกระจายเปิดบัญชี ในชื่อคนอื่น

เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกต อาชญากรจะนำเงินก้อนใหญ่ แบ่งกระจายให้ญาติสนิท หรือภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หรือคนใช้ ลูกน้องที่อยู่ในอาณัติ เปิดบัญชีเงินฝากหลายๆบัญชี เพื่อกระจายเงินให้เป็นก้อนเล็กลง ไม่ให้เป็นที่สังเกตจากบรรดาธนาคารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงค่อยรอเวลานำเงินมาใช้ตามโอกาสที่ต้องการต่อไป




พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
                        
   องค์ประกอบความผิดฐานฟอกเงิน
            มาตรา 5  ผู้ใด
(1)  โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ
(2)  กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
มาตรา9  ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ถ้าได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ในกรณีที่ความผิดได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้สมคบทำให้การกระทำนั้นกระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้สมคบที่กระทำการขัดขวางนั้น คงรับโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งเท่านั้น
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกลับใจให้ความจริงแห่งการสมคบต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะมีการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกัน ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้
                        บทลงโทษความผิดฐานฟอกเงิน
            มาตรา 60  ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

           

  หวังว่าข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงินที่นำมาฝากคงจะเป็นความรู้ให้กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ ไว้โอกาสหน้าถ้ามีเวลาและอารมณ์  + ความนิยมของทุกท่าน จะพยายามหาสาระดีๆมาเพิ่มเติมความรู้ให้อีกนะครับ