" ใครที่เข้าวัดพระธรรมกาย ต้องระวัง
จะถูกหลอกให้ทำบุญจนหมดตัวจริงหรือ? "
คำๆนี้ถูกพูดต่อๆกันมาเป็นเวลานานจน เข้าไปอยู่ในใจของคนไปแล้ว บางคนแค่ได้ยินชื่อว่า "ธรรมกาย"เท่านั้นแหละเชื่อแบบชนิดที่ว่าโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว บางคนถึงกับออกอาการแอนตี้กันออกมาอย่างเห็นได้ชัดเลยก็มี ทั้งที่ความจริงเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ และคนที่เชื่อตาม จริงๆแล้วก็ไม่เคยเข้าไปสัมผ้สหรือเข้าไปเหยียบวัดนี้เลยด้วยเลยซ้ำ มันเป็นเพราะอะไรกัน หรือมันเป็นไปตามกระแสของใครบางคนที่มีความเกลียดชังและไม่ชอบวัดนี้เป็นตัวผลักดัน แล้วสร้างกระแสมันขึ้นมา ทำให้คนอื่นมองวัดแห่งนี้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองอยากให้เป็น โดยการสร้างโมเดลของวัดนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะโจมตีหรือผลักดันให้วัดนี้กลายเป็นวัดที่เห็นแก่เงิน เพื่อที่จะกระจายออกไปเพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าวัดนี้เป็อย่างไร หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อดึงเอาคนที่ไม่รู้จักวัดหรือไม่เคยเข้ามาสัมผัสกับวัดนี้ มาเป็นพวกของตนในการจัดการกับวัดนี้ให้ได้ ผมว่าการตลาดของเขาใช้ได้ผลนะครับเพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อไปตามเขา
ประกอบกับวัดแห่งนี้ดูจะเป็นวัดที่รักความสงบน่าดู แม้ใครจะว่าอะไรมา จะใส่ร้ายยังไงก็ไม่เคยตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับใช้ความสงบนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย จึงเป็นเหตุให้เขาเล่นงานได้ง่าย
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่รักความสงบ เรียบง่าย เจตนาเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาได้ความสุข ความสงบ ความเย็นกาย เย็นใจกลับไป จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่วัดไม่คิดที่จะตอบโต้ใดๆกลับคืนไป ซึ่งถ้าเราไม่โต้ตอบบ้าง เรื่องราวต่างๆที่เขาทำขึ้นมาเพื่อทำให้คนเชื่อและเข้าใจตามนั้นก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น เหมือนกับในเหตุที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลที่นางจิญจมาณวิกากล่าวให้ร้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำให้ตนท้องแล้วทิ้งตนไปไม่มาเหลียวแล
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่รักความสงบ เรียบง่าย เจตนาเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาได้ความสุข ความสงบ ความเย็นกาย เย็นใจกลับไป จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่วัดไม่คิดที่จะตอบโต้ใดๆกลับคืนไป ซึ่งถ้าเราไม่โต้ตอบบ้าง เรื่องราวต่างๆที่เขาทำขึ้นมาเพื่อทำให้คนเชื่อและเข้าใจตามนั้นก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น เหมือนกับในเหตุที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลที่นางจิญจมาณวิกากล่าวให้ร้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำให้ตนท้องแล้วทิ้งตนไปไม่มาเหลียวแล
ในเรื่องนางจิญจมาณวิกา ที่ให้ร้ายพระสัมมาสัมพุทธว่าทำให้ตนเองตั้งท้องนั้น เจตนาของเขาก็คือเพื่อต้องการที่จะทำลาย เชื่อความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมดไป แม้ท่านจะรู้วาระจิตของนางแต่ท่านก้บนิ่งและพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นว่า
"น้องหญิง คำที่เธอพูดมามีแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ความจริง"
แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จากต้นแบบของผู้นำที่มีจิตใจเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ทั้งหลายแม้รู้ว่าภัยจะมาถึงตัวท่านก็ยังนิ่งและยอมปล่อยให้นางให้ร้ายต่อไป แต่การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่พูดอะไรมากก็ไม่ได้แสดงว่าทานจะยอมรับตามที่นางจิญจมาณวิกาพูด
แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จากต้นแบบของผู้นำที่มีจิตใจเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ทั้งหลายแม้รู้ว่าภัยจะมาถึงตัวท่านก็ยังนิ่งและยอมปล่อยให้นางให้ร้ายต่อไป แต่การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่พูดอะไรมากก็ไม่ได้แสดงว่าทานจะยอมรับตามที่นางจิญจมาณวิกาพูด
แต่ก็เชื่อว่าอาจจะมีบางคนที่เริ่มเชื่อในสิ่งที่นางจิญจมาณวิกา พูดแน่นอน ถ้าท้าวสักกะเทวราช ไม่แปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่นางผูกไว้ จนเชือกขาด ผ้าและท่อนไม้ก็หล่นลงมา

นางจิญจมาณวิกา ให้ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำให้ตนท้องแล้วทอดทิ้งตน
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าความเชื่อของคนมันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว แต่แรงศรัทธาของพระพุทธศาสนายังมีมาก ทำให้คนใช้ปัญญาในการพิจารณาไม่เชื่อไปตามที่นางจิญจมาณวิกาไปเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าทั้งพระภิกษุและสาธุชนที่เข้ามานั่งฟังการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างก็อยู่ในอาการที่เงียบสงบเพื่อที่จะรอฟังคำตอบจากพระพุทธองค์ ไม่ได้ด่วนตัดสินใจไปเลยทีเดียว
ซึ่งต่างจากคนเราทุกวันนี้เชื่ออะไรต่างๆได้ง่าย แค่เห็นข่าวออกหรือสื่อต่างๆออกมาก็เชื่อทันที เชื่อโดยปราศจากการไต่ตรอง ปราศจากเหตุผล ปราศจากการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาลงข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สิ่งเหล่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับสังคมไทยทุกวันนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องความเชื่อต่างๆไว้ใน "กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10" เพื่อไม่ให้เกิดความเชื่อไปในทางที่ผิดๆ ดังนี้
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร คือ
- อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
- อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
- อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
- อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
- อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
- อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
- อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
- อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
- อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
- อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสสอนมา ดังนั้นเวลาที่เราก็จะอะไรหรือเชื่อใครเราก็ควรที่จะคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก่อน เราต้องพิสูจน์ให้ได้แน่ใจว่าสิ่้งที่คนเขาพูดมานั้นมันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้เราก็ค่อยเชื่อแต่เมื่อไหร่ที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะถ้าเชื่ออะไรแบบผิดๆชีวิตของเราอาจจะเปลี่ยนไปได้ เมื่อเชื่อแบบผิดทิฐิก็อาจจะเกิดขึ้นในใจและปิดกั้นที่จะยอมรับความจริงไปเลยก็ได้ เป็นการตัดโอกาสครั้งสำคัญของคุณไปเลยทีเดียว โอกาสในการที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยตัวของคุณเองนั้น นั่นเอง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น